คำถามที่พบบ่อย

ถ้าเราใช้วิชาโหราศาสตร์ไปช่วยใคร หรือ ใช้วิชาใดๆ ไปรักษาใคร เจ้ากรรมนายเวรเขาจะมาเล่นงานเราไหมนะ

แต่ก่อนคิดนะ กลัวมากด้วย ว่ารักษาโรคให้ใคร โรคเค้าจะมาเข้าหาเรา เล่นงานเรา ทำให้เราได้ป่วยหนัก ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ก็ยังจะทำนะ ทำแบบกล้าๆกลัวๆ ทำไป ต่อให้ป่วยหนัก หลายทีก็อดคิดไม่ได้ว่า เกิดจากที่เราไปรับกรรมไปช่วยเขามาหรือเปล่า เพราะไม่ได้ใช้ยาอย่างเดียว บางทีไม่ใช้ยา บางทีใช้วิชาที่คนป่วยก็ยังถามเราว่า หายได้ยังไง ก็ได้แต่ตอบไปว่า หายก็ดีแล้วไม่ให้หรือ และแน่นอน บางทีก็คุยกับ จกนว ของคนไข้ ว่าเดียวให้เค้าไปทำบุญให้ละกันนะ ให้เค้าหายใจหายคอได้หน่อย แต่ไม่บอกใครสักคนหรอก ว่าคุยอะไร บอกแต่กับคนไข้ ว่าให้ไปทำอะไรบ้าง บางคนก็ ทำหน้า งงๆ แต่ก็พยักหน้าแบบขาดเสียไม่ได้ว่าจะทำ จนมาบัดนี้ อ้อ คนพบความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า ว่า ต่อให้ไม่เก็บ ก็ไม่สำคัญ หรือเก็บ ก็ไม่สำคัญ สำคัญที่เราแยกแยะได้ ว่าตอนไหนโดน ตอนไหนไม่โดน เงินในกล่องนี้ ถ้าป่วยมาไม่คุ้มหรอก ค่ารักษาพยาบาลผม และถ้าผมเอา 1 วันของผมไปหาเงิน ผมได้มากกว่านี้เยอะ เงินเหล่านี้ทำให้ผมเห็น โลกธรรม เห็นความเป็นจริงของโลก คนเราปกติจะรักสุข เกลียดทุกข์นะ แต่ช่วยไม่ได้ กฎธรรมชาติชอบเอาของดี ฝังไว้ในทะเลทุกข์ ต้องยอมกระโจนลงไปบางทีถึงจะเห็นก็มี เหมือนกัน ความยากจน หรือการได้รายได้ค่าตอบแทนน้อยๆ มองดูแล้วคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าลงไปทำ แต่พอทำแล้ว กลับได้สิ่งที่มีค่าขึ้นมา มีค่ามากกว่า เงินทองที่เราคิดว่าเราน่าจะได้รับเสียอีก ไม่ใช่แค่ความสุขใจนะ หลายครั้งที่ได้รับมา คือ สติปัญญา ความรู้ ที่ผ่านมาผมตอบตัวเองว่าอย่างไร เวลารู้สึกว่า เราป่วย หรือ เราซวยบางอัน ดูคล้ายมากว่าจะเป็นมาจากการที่เราไปขวางกรรมคนอื่น หรือเปล่าน้า ผมตอบตัวเองด้วยคำตอบของพระพุทธองค์ว่า สัตว์ย่อมมีกรรมเป็นของๆตน แน่นอนที่สุด ถ้าเราไม่ใช่ผู้ได้ทำกรรมนั้นๆมา เราไม่มีทางได้รับผลของกรรมเช่นว่านั้น และการช่วยคนของเราไม่ว่าใช้วิชาอะไร เป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วหละ หากว่าเป็นกรรมดี จะได้รับผลชั่วได้เช่นไร พระพุทธองค์ท่านได้กล่าวไว้ ต่อหน้าพระเจ้าอชาตศัตรู และ มหาพราหมณ์โสณทัณฑ มานานแล้ว แต่ต่อให้รู้นะ จำได้ ด้วยความที่ยังไม่เห็นแจ้งเห็นจริงแก่ใจ มันก็กลัวอยู่ดีนะ โชคดีที่นับวันยิ่งทำไปเรื่อยๆ ความมกลัวนั้นลดลงมาก และความเห็นแจ้งกระจ่างก็ดูจะมากขึ้น

คำถามสั้นๆคือ เรามักคิดว่า เจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นต้องไม่ชอบเราแน่ๆเลยถ้าเราไปช่วยให้คนนั้นเขา หลุด หรือ พ้นจาก ความทุกข์ใจ หรือทุกข์กายก็ตาม หรือทั้งสองอย่าง มีคำถามน่าสนใจว่า หากเราเชื่อว่าคนเราเกี่ยวข้องกันมาสารพัน เพื่อนเราอาจเป็นศัตรูของคนอีกคนที่เราก็อาจจะนับเป็นเพื่อนด้วย หรือเราอาจจะไม่รู้จัก หากว่า เจ้ากรรมนายเวรนั้น จะกระทำแก่เราจริง แล้วเขาดันเป็นญาติหรือเพื่อนเราด้วย คิดว่า เจ้ากรรมนายเวรจะทำเราไหม หรือให้อภัยเราบ้างไหม ต่อให้เราไปช่วยคนที่เจ้ากรรมนายเวรจ้องเล่นงาน แต่เจ้ากรรมนายเวรนั้นเป็นเพื่อนของเรา คำตอบนี้ผมตอบได้นานแล้วหละ ตอบได้จากการชอบลงไปว่ายงมโข่งในทะเลทุกข์ แบบบ้าๆบอๆ หรือกระโจนเข้ากองไฟที่รู้ว่าจะร้อนเป็นบางที คนทั่วไปอาจคิดว่า ไม่เลว ก็บ้าแน่ๆ ไม่ร้าย ก็เขลา แน่ๆ ก็เราจะรู้จักเจ้ากรรมนายเวรได้อย่างไร หากเราไม่ทำความรู้จัก ผี หรือ อสุรกาย หรือ วิญญาณร้ายก็ตาม เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าที่เรารู้จักนั้นดีพอแล้ว ใช่แล้วหละ ต้องใช่แน่ๆเลย ตามที่เราคิดไว้ หรือคะเนไว้ มีวิธีมากมายในการรู้จักท้องทะเล แบบที่ไม่ต้องดำลงไปก็ได้หนะนะ แต่การเรียนรู้ที่ต่างกันก็ย่อมได้ผลที่ต่างกัน

เอาว่าผมฝังเข็มได้ หายาได้ เจียดยาได้ แต่บางทีผมป่วย ผมไม่รักษามันง่ายๆ เพราะผมกลับรู้สึกว่า การได้ดูอะไรในความป่วยบ้าง ผมได้ประโยชน์ เว้นแต่ทุกขเวทนาทางกายหนักมากเหลือเกิน ก็ต้องหาทางแก้ไปให้ได้ก่อนที่จะมาดู

ถ้าเราวางเป้าที่ความสุข แน่นอนเราควรหาอะไรก็ได้ที่ทำให้เราสุข และป้องกันอะไรๆที่จะมาทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าเราวางเป้าที่ความไม่ทุกข์ เราจะสบายหน่อยที่ว่า ความสุขเราไม่ต้องหามาก และทำแค่อะไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์เท่านั้น ซึ่งถ้าเราได้ลองเจอความไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง เราจะเห็นว่า บางทีการอยู่กับทุกข์ให้ได้ ก็ทำให้เราได้ความไม่ทุกข์ขึ้นมาบ้าง ตามกำลังความสามารถของเราเหมือนกัน จะว่า สุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับแค่ใจ ก็ไม่ใช่หรอก ถ้าลองดูจริงๆจะพบว่า สุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากๆ เราเลยต้องทำหลายทาง เรียนรู้หลายแบบ สะสมหลายอย่าง เพื่อให้ทุกข์เบาบางลง ถ้าลองมองทุกข์บ่อยๆจะรู้เลยว่า ทุกข์เบาลง ดีกว่า สุขเพิ่มขึ้น ดีกว่ากันมากๆ ฟังอาจจะ งงๆ นะ เพราะทั่วไปชอบคิดว่า ไม่สุข ก็ต้องทุกข์ ถ้าเลือกได้ คงเลือกสุขเพิ่มดีกว่า เพราะสุขเพิ่มทุกข์ก็ย่อมเบาลงแน่ๆสิ ก็ธรรมชาติไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในระหว่างสุขและทุกข์ มีสิ่งคั่นเอาไว้ เหมือนลมหายใจไม่ได้มีแต่เข้าหรือออก ก่อนจะเข้า หรือก่อนจะออก มีการหยุด กึก นิดนึงเอาไว้ จะเรียกว่า จุดเกิดของลมหายใจเข้า หรือ จุดดับของลมหายใจออกแบบนี้ก็น่าจะได้ เช่นเดียวกัน จะเรียกว่า จุดเกิดสุข กับ จุดทุกข์หายลง แต่เราจะสังเกตเจอได้ยาก ถ้าเรามองตรงด้านสุข หากเมื่อมองตรงด้านทุกข์ เราจะหาเจอได้ง่ายกว่า เพราะเรารอคอยจุดนี้เกิด

ย้อนกลับมาหาตำราจีนหน่อย อิน หยาง 阴阳 เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีแค่ อิน และ หยาง และยิ่งไม่ได้มี 少阴 老阴 少阳 老阳 แต่มีจุดเล็กๆระหว่างคั่นที่เป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยน เป็นต้นการเปลี่ยน เป็นจุดวกกลับ หรือเป็นจุดที่เปลี่ยนจากอินไปหยาง จากหยางไปอิน ด้วยเสมอเลย ถ้าเราขยายจุดๆนี้ให้ชัด เราจะพบความจริงได้อีกมากในธรรมชาติ เหมือนกับที่พอเราขยายจุดทุกข์ที่เกิดให้ชัดให้กว้าง เราจะเห็นสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้นว่ามีกระบวนการอย่างไร รู้สึกอย่างไร ก่อนที่ความทุกข์จะเข้างำจิตใจเราจนเรารู้สึกว่า นี้เป็นความทุกข์ละ ร้อนใจละ ไม่พอใจละ แต่ถ้าเราชินกับการหาสุข เราจะฝึกหรือสั่งสมการทำงานอัตโนมัติของใจ ให้นิ่ง หรือ ปัดออก ซึ่งความทุกข์นั้น ทำให้เราไม่ได้ทันเห็นจุดๆนั้น รู้ตัวอีกทีก็ นิ่ง สงบ หรือสุข หรือ ทุกข์คลายลงไปเสียแล้ว รู้ตัวเข้าอีกที จากอินก็เป็นหยางไปเสียแล้ว จากหยางก็เป็นอินไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้น การเข้าไปหาวิธีทำให้ได้รับสุข เจริญ ลาภ ยศ หรือ การเข้าไปหาวิธีทำให้ได้หนีทุกข์ หนีความป่วย ความเสื่อม ไม่ใช่คำตอบที่ดีทั้งสองทาง ที่จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น การได้รู้จริงๆว่า มีจุดทำให้เราไปทางสุขได้ และมีจุดทำให้ทุกข์หายลงไปบ้างได้ นั้นต่างหากที่สำคัญกว่าและไม่ใช่เงื่อนเวลา หรือ สถานที่ด้วย แต่เป็น การเข้าไปสังเกตจุดๆนั้น ผ่านเวลา และสถานที่ หรือ กิจกรรมใดๆในชีวิต

ผมเคยทำการศึกษาว่า สมมติคนๆนึงดวงดี โชคลาภกำลังมา เขาไปทำความไม่ดีเข้า หรือทำผิดศีลธรรมเข้า โชคลาภจะหายหรือซาลงไป อันนั้นค่อนข้างแน่นอนว่ามักจะเกิด แต่ก็ไม่จริงเสมอไป ส่วนที่ไม่แน่นอนเอามากๆเลยคือ ถ้าทำผิดเช่นว่านี้ ทุกข์ หรือ ซวยกี่วันถึงจะหาย เพราะบางทีดูท่าจะเป็นเดือนๆเลย คือ ผังดวงขึ้นว่าต้องดวงดี แต่ความจริงกลับแย่ไปเป็นเดือนๆ อื่ม ทำไมไม่คิดว่าตัวเองคำนวนผิดหรือทำนายพลาดบ้างเนอะ แต่บางที ก็หายได้ใน 15 วัน ตามวันเปลี่ยน ชี่ 气 หรือบางทีก็หายได้ใน 5 วัน ตามวันเปลี่ยน โหว 侯 แต่บางทีหายได้ภายในวันเดียวนี่สิ หรือ ชั่วข้ามคืนก็มี ถ้าเราไปเฝ้ามองแต่ว่า จะเจอสุขเมื่อไหร่ หรือ จะหายทุกข์เมื่อไหร่ เราจะลืมสังเกตเลยว่า จุดๆนั้นหนะ จุดที่ทุกข์หาย หรือ ทุกข์เกิดนั้นหนะ มีการทำงานอย่างไร เกิดอย่างไร แล้วเราได้รับผลอย่างไร หรือรู้สึกอย่างไร ทำไมผมย้ำว่าจุดนั้นสำคัญมาก เพราะ จุดนั้นเองจะทำให้เรา คิดได้ ว่าอะไรควรเลิกทำ หรือ เลิกได้อย่างมั่นคงขึ้น เลิกได้ดีขึ้น ถอดถอนออกมาได้ดีขึ้น ซึ่งการทำนายทายทัก บางทีก็เป็นเหตุให้เข้ามาบัง ให้เราไม่ทันได้เฉลียวใจมองจุดเช่นว่านั้น เพราะเราจะไป รอ หรือ ไป ทำ ไปแก้ ไปเปลี่ยน ไประมัดระวังเรื่องราว หรือ มองหาอะไรที่อาจจะทำให้เราได้ทุกข์ เอาไปเทียบกับอดีตที่เคยทำแบบนี้มาแล้วได้ทุกข์มาแบบนั้นก็ด้วยเช่นกัน จะเรียกว่า จุดสู้กลับก็ได้ คือ จุดกำเนิดตรงนี้เป็นจุดๆเดียวที่เราสามารถศึกษาเรียนรู้ และสู้กลับความสุขความทุกข์ได้ ก่อนที่ความสุขจะเคลื่อนเข้ามา หรือความทุกข์จะเคลื่อนเข้ามา ทีหลังถ้าเรารู้จุดนี้ สังเกตบ่อยๆ จะทำบุญก็ตาม ทำความดีก็ตาม ช่วยเหลือตนเองหรือช่วยเหลือใครเขาก็ตาม เราจะทำอย่างมีคุณภาพใจมากขึ้น แต่ในเมื่อระหว่างคั่นนี่เร็วมาก เราจำต้องมีกำลังสมาธิมากพอควรถึงจะดูได้ หรือสังเกตทัน ไม่งั้นเราก็จะเห็นแต่ตอนที่ สุข หรือ ตอนที่ ทุกข์ ผมคิดว่าตรงนี้หละเป็นสิ่งที่ทำให้ผมโตขึ้น ทำให้ไม่ค่อยกลัวว่า เจ้ากรรมนายเวรใครเขาจะมาเล่นงาน หรือ เราไปขวางกรรมอะไรของใคร หรือ เราจะได้รับกรรมอะไรที่เราไม่ควรได้รับ หรือเรียกว่า ความซวย อะไรพวกนั้นด้วย เพราะเราพอรู้ละว่า มาอย่างไร อะไรเป็นอะไร หรือมาแบบไหน เหมือนถ้าเราเคยได้กินอะไรสักอย่าง ทีหลังเราได้กลิ่น เราจะพอบอกได้ว่า เอ๊ะ นี่กลิ่นของสิ่งนี้ใช่หรือไม่ ต่อให้ความจริงไปดูแล้วอาจจะไม่ใช่ แต่มากครั้งก็มักจะไม่ผิด น้อยครั้งที่ผิด

ทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดขึ้นได้เองนะ ทำตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านแนะนำสั่งสอน แล้วก็ได้รับเมตตา เมื่อมีอะไรเกิดใหม่ๆขึ้นกับชีวิต ท่านทั้งหลายก็ได้ตอบให้ผมว่า เป็นทางอะไร ไปทางไหนต่อ และที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นถึงเป็นแบบนี้

ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้หายกลัวหมดนะ ยังกลัวบ้างอยู่ บางทีกับบางคน เราก็ได้แต่จัดการไปตามแต่ละบริบท แต่ได้มากกว่าเดิม กว่าสมัยก่อนตรงที่ นอกจากเรามองเห็นว่า เราได้ดี หรือ เราซวย หรือไปรับอะไรมา เราไปเห็นว่า มีจุดที่เราพอจะอาศัยช่องเปลี่ยนอะไรได้จริงๆ แบบที่ไม่ใช่เปลี่ยนวันเคลื่อนเดือนย้าย หมายจะแก้ชะตาให้ดีแต่ฝ่ายเดียว เปลี่ยนที่ทำให้เราเห็นว่า เราไม่ได้วนซ้ำอะไรแบบก่อน หรือ วนก็ไม่หลายรอบเท่าแบบก่อน ความรู้สึกตรงนี้ ทำให้เรากลัวการเปลี่ยนแปลงน้อยลง จะอธิบายแบบภาพนี้ก็ได้นะว่า ระหว่างคั่นของ ความสุข ความทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลง ถ้าคนเรามองแต่จะหาทางจัดการเรื่องสุข หรือ เรื่องทุกข์มากไป ไม่ว่าจะเป็นทางสร้าง หรือทางขจัด เราจะไม่มีเวลาเอามามอง การจัดการความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้เลย ที่ว่าเราจัดการได้นั้น มองดูดีๆ เป็นการจัดการใน วงสุข หรือ วงทุกข์ มากกว่า แทบไม่ได้แตะต้อง การจัดการความเปลี่ยนแปลงเลย ที่เราว่าเตรียมรับมือ ชื่อว่า เตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลง แต่ไปดูเนื้อแท้ กลับเตรียมรับมือกับทุกข์ จัดการกับทุกข์ ไม่ได้มาจัดการให้ทำอะไรให้ดีกับ ความเปลี่ยนแปลงเลย กลายเป็น พอทุกข์เกิดก็ยอมรับยาก สุขเกิดก็หวั่นใจ เพราะตัวแปรสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลง เราไม่เคยไปสังเกตจุดนั้น และไม่ได้ทำการจัดการอะไรจุดนั้นเลย พอมีความเปลี่ยนแปลงที ก็เลยหาทางไม่ถูกไปเรื่อยๆ ตรงนี้สำคัญมากนะ ผมเชื่อว่า วิชาที่ผมกำลังเรียนหรือกำลังใช้ มีคุณประโยชน์ตรงนี้ด้วย ทุกครั้งที่ผมได้นำวิชามาช่วยพวกท่าน ผมได้รู้จักอะไรๆในธรรมชาติมากขึ้น ผมว่านั้นสำคัญเอามากๆ

ซินแสหลัว
5/4/2567