16ชั้นฟ้า15ชั้นดิน ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน

16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ไม่มีในพระไตรปิฎกในเรื่องการแบ่งภพภูมิแบบนี้ครับ และไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าครับ ในพระธรรมคำสอนของระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 31 ภพภูมิ คือ

กามภูมิ 11 คือ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษย์ 1 อบายภูมิ 4

สวรรค์ 6 ชั้นคือ จาตุมมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิสสวัตตี

อบายภูมิ 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน

รูปภูมิ 16 ได้แก่ พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา ปริตตาภาพรหม อัปปมาณาพรหม อาภัสสราพรหม ปริตตสุภาพรหม อัปปมาณสุภาพรหม สุภกิณหาพรหม เวหัปผลาพรหม อสัญญสัตตาพรหม อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา

อรูปภูมิ 4 ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

ที่เกิดของหมู่สัตว์ ย่อมไม่พ้นไปจาก ๓๑ ภพภูมิ ซึ่งจำแนกเป็น อบายภูมิ 4 มนุสสภูมิ(ภูมิมนุษย์) 1 สวรรค์ 6 ชั้น รูปพรหมภูมิ 16 ชั้น และอรูปพรหมภูมิ 4 ชั้น ขึ้นอยู่กับว่า กรรมใดจะให้ผลทำให้เกิดในภพภูมิใด เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ตามความเป็นจริงแล้ว ขณะนี้ทุกคนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นผู้ยังปลอดภัยกว่าการเกิดในอบายภูมิ เพราะเหตุว่าในขณะที่เป็นมนุษย์ ยังมีโอกาสได้เจริญกุศล และ ยังมีโอกาสที่กุศลกรรมจะให้ผลได้ตามสมควรแก่เหตุ, แต่กาลข้างหน้า ซึ่งอาจจะช้าหรือเร็วเพียงใดไม่มีใครทราบได้ ที่จะต้องเปลี่ยนสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ไป  นั่นก็คือ ตายจากโลกนี้ นั่นเอง

เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะได้ขวนขวายในการเจริญกุศลประการต่าง ๆ จริง ๆ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว นั่นหมายความว่าย่อมจะขาดการเจริญกุศลอย่างที่มนุษย์จะกระทำได้ เป็นความจริงที่ว่า สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ เวลาที่สิ้นชีวิตลง ละจากโลกนี้ไปแล้วไปสู่อบายภูมิได้ทั้ง ๔ คือ

จะเกิดเป็นสัตว์นรกก็ได้

เกิดเป็นเปรตก็ได้

เกิดเป็นอสุรกายก็ได้

เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม,

และก็สามารถไปสู่สุคติภูมิได้ทั้ง ๗ ภูมิ (คือ มนุษย์ภูมิ และ สวรรค์ ๖ ชั้น) แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมประเภทใด

และถ้าเป็นผู้ได้อบรมความสงบของจิตจนถึงขั้นรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อม ก็สามารถไปเกิดเป็นรูปพรหมบุคคลได้ ถ้าเป็นผู้อบรมเจริญความสงบของจิตจนถึงขั้นอรูปฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อมก็สามารถไปเกิดในภูมิที่ไม่มีรูปเลย มีแต่นามธรรมเท่านั้นได้ (คือ เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล) และประการที่สำคัญที่สุด คือ ถ้ามีการอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นในที่ไหนทั้งสิ้น [เหมือนอย่างพระอรหันต์ทั้งหลายในอดีต แต่ยุคนี้สมัยนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว]

เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและกรรมของแต่ละบุคคล เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังจะเกิดในอบายภูมิได้ เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม

เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลประการต่าง ๆ สะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ด้วย ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ประมาทมัวเมา ประกอบแต่อกุศลกรรม เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว เมื่อนั้น ก็ไม่สามารถจะโทษใครได้เลย เพราะตนเองเป็นผู้กระทำกรรมไม่ดีเอง ผลที่ไม่ดีก็ย่อมเกิดกับตนเองเท่านั้น ใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้. ครับ ขออนุโมทนา

ที่มา : มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พุทธศาสนา

 

31 ภพภูมิ