太陽星君 สุริยเทพ (ไท่หยางซิงจวิน) กับการฆ่าตัวตายของจักรพรรดิหมิงองค์สุดท้าย

ไท่หยางซิงจวิน สุริยเทพ

วันนี้เป็นวันขึ้น สิบเก้าค่ำ เดือนสามจีน ซึ่งเป็นวันรำลึกถึง สุริยเทพ จีน ผมไม่อยากจะแปลตามศัพท์ตรงๆว่า วันคล้ายวันเกิดสุริยเทพ เนื่องจากถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่า นี่ไม่ใช่วันเกิดจริงๆของพระอาทิตย์หรอก ใครจะไปรู้ได้หากไม่มีญาณทัศนะกว้างไกลเป็นล้านๆปี เพราะพระอาทิตย์เกิดก่อนโลกมานานแสนนาน
太陽星君 สุริยเทพ (ไท่หยางซิงจวิน)
สุริยเทพ มีชื่อเต็มตามศาสนาเต๋าว่า 日宮炎光太陽星君 ยื่อกงเยี่ยนกวงไท่หยางซิงจวิน เทพแห่งพระอาทิตย์ผู้ทรงสถิตด้วยแสงสว่างและการเผาไหม้ ยังมีอีกหลายสมญา เช่น 大明之神 เทพแห่งความโคตรสว่าง แต่ชื่อที่เรียกกันอย่างบ้านๆติดปากก็คือ 太陽帝君 ไท่หยางตี้จวิน ซึ่งก็ไม่ควรแปลว่า เทวราชาสุริยเทพ เท่าไหร่นัก เพราะสุริยเทพไม่ได้มีตำแหน่งเป็นราชาของทวยเทพ คำนี้ถ้าจะให้คุ้นหูหน่อยสำหรับชาวจีนบ้านเราต้องอ่าน แต้กุง หรือ แต้กุน แปลตามศัพท์ตรงๆ ตี้ หรือ แต้ ก็หมายถึง ราชา กุน หรือ จวิน ก็หมายถึง ราชาก็ได้ ผู้มีอำนาจทรงเคารพสูงสุดก็ได้ หรือจะเป็นคำสรรพนามของคนมีความรู้ใช้เรียกคนที่ให้ความเคารพก็ได้ ทีนี้ 帝君 มีตำแหน่งเป็นรอง เทวราชาตัวจริงคือ เง็กเซียนฮ่องเต้อยู่ ทั้งนี้มีอีกชื่อหนึ่งที่คนจีนเรียกแบบเคารพๆและแบบกันเองๆหน่อย เรียกว่า 太陽公 คำว่า กง ถ้าใช้เรียกใครก็แปลว่าให้ความเคารพมากๆ แต่ว่าไม่ได้ยกให้ลอยเลิศฟ้า เคารพสูงสุดก็จริง แต่ก็มีนัยยะแฝงความขอบคุณที่ได้อยู่ใกล้ชิดดูแลกันและกัน หนิดหนมๆหน่อยๆว่างั้นหละ
ตำราบอกว่า 太陽星君 สุริยเทพ เป็น 陽剛之神 โหถ้าคำๆนี้จะแปลกันนะ สามวันสามคืนยังไม่รู้จะจบไหมเลยครับ แปลแบบเผินๆก็ เทวดาที่หยางแข็ง ห๊ะ หยางแข็ง อะไร หยางแข็ง เอ๋า ก็ หยางก็แปลทับว่า หยาง กังแปลว่า แข็งไม่ใช่เหรอ บ้าไปแล้ว คำว่า หยาง กับ คำว่า กัง ถ้าท่านได้อ่านตำราทางเต๋า หรือทางโหราศาสตร์จีนจะพบว่า ให้ความหมายลึกล้ำอลังการ อ้างอิงถึงการกำเนิดธรรมชาติสรรพสิ่ง ว่า ฟ้าคือหยาง ดินคือกัง ฟ้าคือหยิน ดินคือรั่ว ตำรา 类經圖翼 มีอธิบายไว้ราวสองหน้ากระดาษ ใครอ่านจีนได้ลองหามาอ่าน ใครหาไม่เจอบอกมาทางไลน์ผม เดียวผมส่งให้ครับ ละไม่ต้องมาถามนะ ไลน์อะไร ถ้าไม่มีปัญญาหาแค่ไลน์ก็ ไม่ต้องอ่านหรอก คนจีนฝึกลูกฝึกหลานมีสามคำครับ พยายาม พยายาม และพยายาม โอเคนะ ปวงปรัชญาจีนทั้งหมดล้วนเสกสรรค์ขึ้นมาด้วยคติหมายเอาชนะฟ้าดินฝืนชะตากรรม ฝ่าชะตาฟ้าลิขิตนั้นหละ แต่เขาเจียมตัวไง ว่า ฟัาสูงแผ่นดินต่ำ เลยบอกว่า คล้อยตามฟ้า จริงๆไปดูจริงๆนะ ไม่มีอะไรคล้อยตามหรอก มีแต่หาทางเดินนำหน้าทั้งนั้นหละ แต่เดินแบบไม่แหกคอก ไม่สะเปะสะปะ เดินแบบผู้มีปัญญาและจริยาที่ดีไม่ทำร้ายธรรมชาติแค่นั้น หนะหนะ นอกเรื่องอีกละ ย่อๆว่า หยินหยางกำเนิดฟ้า กังรั่วกำเนิดดิน สรุปสองคำนี้ก็คือ คล้ายๆกันหนะหละ แต่มีความหมายให้เราเห็นภาพว่า ไม่ได้สว่างแค่บนฟ้า แต่สว่างและมีรัศมีถึงบนดินด้วย ฟ้าดินทั่วถึงหมด แบบนี่แล
คำจำกัดความถึง 太陽星君 สุริยเทพ ก็คือ 陽剛之神,司日之運行,掌火焰之輕重,日由東升,再由西墜,光熙普照大地,施恩萬民,凡世人代代祭祀之故也。สี่คำแรกแปลไปละ ต่อมาคือ พระอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อยแบบมีแนวเคลื่อนอยุ่ทุกวี่ทุกวัน มีรัศมีเปลวความร้อนที่แปรไปร้อนมากบ้าง ร้อนน้อยบ้าง วันๆขึ้นจากทางทิศตะวันออกและก็คล้อยถอยลงทางทิศตะวันตก แสงสว่างรัศมีแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพีกว้างใหญ่ มีคุณต่อปวงประชา เหตุนี้แล เรามนุษย์ทั้งผองจึงให้ความเคารพเรื่อยมา《拾遺記》กล่าวว่า『炎帝神農築圓丘以祀朝日。』เหยียนตี้ หวงตี้ เสินหนง ปฐมจักรพรรดิยุคเทพนิยายปรัมปราของจีน ซึ่งชาวจีนนับถือเป็นราชาด้วย เป็นบรรพชนของเผ่าพันธุ์ด้วย ก็ยังให้ความเคารพบวงสรวงพระอาทิตย์
ตำราว่า วันเกิดของสุริยเทพ 太陽帝君誕辰 จริงๆคือ ขึ้นสองค่ำเดือนสอง แต่หนังสือพรหมชาติจีน (ชื่อนี้ผมตั้งเองแหละ หมายถึงปฎิทินจีนเล่มสีแดงๆที่เห็นขายกันแถวเยาวราช ที่เย็บสันด้วยด้ายแบบหนังสือจีนเก่าๆ หน้าแรกๆจะบอกผังฮวงจุ้ยของปี ผังชุนอู่การเกษตรฟ้าฝน หน้าถัดๆมาหน่อยก็จะมีตารางบอกวันเกิดเทพเจ้าทั้งหลาย อันนี้หละ) เรียก 通勝 ทงเซิ่ง ก็เรียก ทงซู ก็เรียก หนังสือตำราเล่มนี้โดยมากเขียนว่า วันขึ้นสิบเก้าค่ำเดือนสามนี้หละ เป็นวันเกิดสุริยเทพ ซึ่งความจริงในประวัติศาสตร์ตำราหนึ่งว่าไว้ว่า เป็นวันที่ 崇禎皇帝 ฮ่องเต้ฉงเจินฆ่าตัวตายเพราะสูญสิ้นราชวงศ์ สูญสิ้นราชบัลลังก์ เป็นยุคสุดท้ายของราชวงศ์ ซึ่งตรงกับปี 甲申 ไม้หยางวอก ตามแบบฉบับการบอกศักราชของจีนโบราณ ผมถึงบอกละว่า วิชาโหราศาสตร์จีน โป๊ยหยี่สี่เถียว แท้จริงเป็นวิชาว่าด้วยการบอกเวลาแบบโบราณที่เราตีความหมายว่า แต่ละห้วงมันไม่ใช่แค่เวลา แต่มันมียินมีหยาง มีดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ห้าธาตุ ประกอบในทุกๆปี ทุกๆ เดือน ทุกๆ วัน ทุกๆยามที่แปรไป เปลี่ยนไป เราค้นความลับของกาลเวลากันออกมา ณ ปีสิ้นราชวงศ์นี้หละ มีสำนวนว่า「天上有日,民中有君」บนฟากฟ้ามีพระอาทิตย์ ปวงประชาก็มีพระราชา ว่ากันว่าประชาชนได้พร้อมใจกันระบุเอาวันที่ฮ่องเต้ฉงเจินฆ่าตัวตายนี่หละ เป็นวันรำลึกถึงฮ่องเต้ของตนเพื่ออำพรางไม่ให้ราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ใหม่ที่มาปากครองหาว่าคิดก่อการต่อต้าน
มีตำราเล่มหนึ่งน่าสนใจ ชื่อ 太陽星君真經 เป็นบทสวดสาธยายทางศาสนาลัทธิ จะว่าเต๋าก็ไม่ใช่ พุทธก็ไม่เชิง เพราะเป็นบทที่แฝงด้วยความเชื่อทางเต๋า และพุทธใส่เอาไว้รวมๆกัน ไม่ปรากฎชื่อคนแต่ง ความว่า
* 太陽明明諸光佛、四大神洲正乾坤、太陽出現滿天紅、日夜行程不住停
พระอาทิตย์สถิตสาดแสงแห่งธรรมะ ส่องแสงไปทั่วทุกเขตแคว้นแดนในโลก พระอาทิตย์ขึ้นแล้วฟ้าล้วนแดงสดใส วันคืนเคลื่อนคล้อยไปก็ไม่ได้หยุดหย่อน
* 行得快來催人老、行的慢來不留存、家家門前都走過、倒被眾人叫小名
สัญจรอย่างไวอายุขัยคนแปปเดียวก็เปลี่ยนเป็นแก่ลงๆ สัญจรอย่างช้าๆแต่ก็ไม่เคยหยุด จริงๆต้องแปลว่า การสัญจรของพระอาทิตย์ทั้งทำให้อายุขัยเปลี่ยนไปและก็ไม่หยุดที่จะเป็นแบบนี้ เคลื่อนคล้อยสัญจรไปทุกบ้าน กลายเป็นเฉกมิตรเฉกคนที่ใกล้ชิดกัน
* 惱得太陽歸山去、饑餓黎民苦眾生、天上無我無晝夜、地下無我少收成
หากว่าพระอาทิตย์ไปแล้วลาลับไม่กลับมา ก็จะเกิดภัยทุกข์ยากโหยหิวทั่วหย่อมหญ้า หากฟ้าไร้พระอาทิตย์ก็จะไร้กลางวันกลางคืน หากโลกไร้พระอาทิตย์ก็จะไม่อาจเก็บเกี่ยวใดๆ ได้
* 位位神明有人敬、無人恭敬太陽星、太陽三月十九生、家家念佛敬香燈
เทวทุกองค์มีคนบูชา แต่ไม่ค่อยมีใครบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ ณ วันขึ้นสิบเก้าค่ำเดือนสาม ทุกบ้านก็จะจุดธูปจุดเทียนสวดพุทธมนต์
* 有人奉誦太陽經、合家老幼免災星、若無傳我太陽經、眼前就是地獄門
มีคนสวดบทบูชาพระอาทิตย์เป็นประจำ ครอบครัวญาติมิตรลูกหลานก็จะไม่ประสบเคราะห์ร้าย แต่หากว่าไม่สวดท่องพร่ำมนต์ ประตูนรกก็จะมาเยือนต่อหน้า
* 太陽明明諸光佛、分與善男信女們、每日早晨念七遍、永世不入地獄門
พระอาทิตย์ดุจแสงแห่งพระธรรม ชายหญิงผู้ศรัทธาท่านใดได้สวดท่องเจ็ดจบทุกวันสำหรับมนต์พระอาทิตย์นี้ ก็จะไม่ต้องตกล่วงเข้าประตูนรกชั่วกาล
* 臨終之時生淨土、九玄七祖盡超昇、日光菩薩從東來、照見天門九重開
* 十萬八千諸菩薩、諸佛菩薩幾般排
* 腳踏無量地、風雲透地開、頭帶珠寶塔
* 娑婆大世界、議定諸佛法、口誦日光經
* 準折金光一卷經、一來報答天地德、二來報答父母恩、龍天八部生歡喜
* 家門清吉保安寧、真心常念太陽經、一切災殃化為塵、諸尊菩薩摩訶薩
* 摩訶般若波羅蜜。(終)
พอละไม่แปลละ รู้สึกว่า บทนี้ชักเขียนอะไรที่ไม่เป็นพุทธศาสนาสักเท่าไหร่ และก็ไม่เป็นเต๋าด้วย เนี่ยที่ผมเอามานำเสนอเพื่ออยากบอกว่า หากเราเป็นผู้มีศรัทธาไม่คลอนแคลนง่อนแง่น ตั้งมั่นในศาสนา เราจะไม่หวั่นไหวที่จะไม่แยแสอะไรก็ตามที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่ประกอบด้วยปัญญา ทีนี้วิธีมีศรัทธาอย่างตั้งมั่นก็คือ การศึกษาหาความรู้ และการพิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล การสวดมนต์เป็นนิจทำให้ไม่ตกนรก แน่นอน ถ้าทำได้นะ เป็นนิจ แปลว่า ทุกลมหายใจและตลอดกาล ก็ทำไม่ได้ไง ถูกไหม มันต้องมีช่วงเผลอทำชั่ว ประโยชน์ที่ได้จากมนต์บทนี้คือ พระอาทิตย์มีคุณต่อสรรพชีวิต อยู่ที่เราเปิดรับแสงสว่างแค่ไหน ธรรมะก็ยิ่งมีมหาคุณต่อชีวิต อยู่ที่เราจะเปิดใจรับมากเพียงไร หากหมกตัวในถ้ำที่ปิดตายไร้แสง พระอาทิตย์ก็ไม่ได้พยายามจะแยงแสงเข้าหาให้ได้นะ ควรรุ้ไว้ ธรรมะก็เช่นกัน ความดีก็เช่นกัน เราต้องเดินเข้าหา ไม่มีคนฉลาด คนดี คนเก่ง ที่ไหนเขาเดินเข้ามาหาคนโง่ คนบ้า คนเลว อยู่เนืองๆหรอก เหมือนที่แสงอาทิตย์ก็ไม่เคยเดินตามเพื่อจะไล่ความมืดให้พ้นๆให้เรา เราเองต่างหากที่ต้องเปิดรับแสง
ขอให้มีความสุขความเจริญ ณ วันที่ยังมีรุ่งอรุณ ณ ขอบฟ้า ณ วันที่ยังมีเวลาให้ได้ทำกิจกรรมมากมาย ณ วันที่ยังมีลมหายใจ ณ วันที่โลกนี้ยังคงมีธรรมชาติที่ไม่รุนแรงเลวร้าย ไม่สงครามทั่วโลก เป็นห้วงเวลาดีๆที่เราผู้เป็นคนมาขออาศัยบนโลกเพียงชั่วคราวจะได้ทำความดี เพื่อความสุขความเจริญแก่ตัวเราและคนรอบข้าง พระอาทิตย์ส่องแสงให้ทุกคนที่เปิดรับพระอาทิตย์ ความรักและเมตตาก็ไม่ควรจะเลือกว่าให้แก่คนที่เรารักเท่านั้น ทุกคนที่เปิดรับรักเรา ก็ขอให้ได้มอบความรักนั้นให้ แต่ก็นะ ช่วยร้อนน้อยกว่านี้สักนิดเถิด … มีเวลาว่างก็ไม่ใช่เอาไปส่องชาวบ้านเขาไม่ทั่ว คนก็จะหวาดกลัวเธอแบบที่กลัวพระอาทิตย์ อย่าเกิดมามีตาเพื่อจ้องมองแต่ชาวบ้าน มีหูเพื่อเงี่ยฟังแต่เสียงคนรอบข้าง มีจมูกคอยแต่จะหาว่าอะไรเหม็น ลองหาเวลาสำรวมทั้งหมดเอามากองรวมกันที่ใจ และหาเชือกมัดใจเอาไว้ เพราะพุทธเจ้าตรัสว่า ใจคนดุจดั่งลิง ไม่มัด ไม่ฟาด ไม่กำราบ จะสร้างความทุกข์ให้ไม่รู้จบ สาธุธรรมซินแสหลัว
ขอบคุณภาพจาก google.com