ฮวงซุ้ย หลุมศพคนตาย สอน สัมมาทิฎฐิคนเป็น
จริงๆก็ไม่อยากจะเขียนเรื่องนี้ให้อ่านกันเท่าไหร่ เพราะก็สองจิตสองใจหละนะครับ เนื่องจากประเด็นนี้ผมยังหาคำอธิบายในทางเหตุผลตรรกะไม่ได้ และหาทางอธิบายในแนวพุทธก็ยังไม่ได้ อาจจะบอกได้แค่ว่าเป็นสัญญาณเตือนเท่านั้น ประเด็นที่ว่านี้ก็คือ หลุมศพ หรือ ฮวงซุ้ย (ขอเรียกตามภาษาที่คนไทยคุ้นหู จะถูกไม่ถูกไวยากรณ์จีนแต้จิ๋วก็ไม่ทราบได้ เพราะไม่ได้เรียนแต๊จิ๋วมา แต่คนจีนกลางเรียก ยินไจ๋ เรียก มู่ หรือเฝิงมู่) หลุมศพ พัง แล้วธุรกิจแย่ หลุมศพบรรพชนพัง แล้วลูกหลานไม่สบาย อันอาจจะตีความให้พอมีเหตุผลฟังขึ้นได้ว่า เป็นตัวบอกเหตุการณ์ก็เท่านั้น คือ หลุมศพ ไม่ได้มีผลทำให้เราเจริญขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่เป็นตัวบอกเหตุว่า ถ้าพังขึ้นมา ก็จะประจวบเหมาะกับช่วงที่เราต้องแย่ลงพอดี แบบนั้นเสียมากกว่า พอๆกับเวลาเราดูนาฬิกา เข็มชี้เลขสิบสอง เราก็ว่า อ้อ นี่เที่ยงวัน พระอาทิตย์อยู่ตรงหัว แต่นาฬิกาไม่ได้มีผลทำให้พระอาทิตย์ลอยขึ้นไปอยู่กลางหัวเรา หากแต่เป็นแค่ลางบอกเหตุเท่านั้นเอง เพียงแต่หลายคราวหลายหน อาจจะด้วยความด้อยปัญญาทาง โหราศาสตร์จีน ของผมก็ไม่ทราบ อยากฝากเรื่องนี้เป็นประเด็นให้คิดต่อคือ ทุกครั้งที่ ดูดวงคน ด้วยวิชา โหราศาสตร์จีน แล้วปรากฏว่าหาเหตุแห่งความจู่ๆซวยของดวงนี้ไม่ได้ ไม่ได้แบบไม่ได้จริงๆ เค้นเท่าไหร่ก็ไม่ออก ผมถึงจะยอมปริปากมาพูดประเด็นเรื่อง หลุมศพ และก็ปรากฏว่า ทุกคนที่ทักไป ตรงทุกรายคือ หลุมศพพัง จะมีน้อยมากที่ผมวางดวงเสร็จแล้วจู่ๆก็จะพูดมาเลยว่า นี่ไปดูหลุมบรรพชนหน่อย ร้าวเสียหาย แตกพังแน่ๆ ตรงนี้จึ่งจะชี้ให้เห็นความสำคัญสามประการ
หนึ่ง ดวงชะตานั้น สำคัญยิ่งกว่าการจัดฮวงจุ้ย นี่เป็นคำพูดตลอดตั้งแต่ผมเริ่มดูดวงมา จนถึงปัจจุบันก็ยืนยันมาตลอด เพราะว่าการดูดวงเหมือนการวินิจฉัยโรคของชะตาดวงนี้ ฮวงจุ้ยเป็นแค่ แขนงหนึ่งในยาแก้โรค ซึ่งจริงๆสามารถทำได้หลายทางนอกเสียไปจากการปรับฮวงจุ้ย แต่น้อยคนที่จะศึกษาวิชาโหราศาสตร์จีนอย่างลงลึก กลับไปศึกษาอย่างฉาบฉวยเพื่อจะเอาไปต่อยอดในแง่ฮวงจุ้ย ทำให้พื้นฐานไม่แน่น ก็คือ อ่านดวงแล้ว ทำนายที่อยู่อาศัยเขาไม่ได้ อ่านดวงแล้วทำนายหลุมศพไม่ได้ ซึ่งนี้ผมเน้นมาตลอดว่า หมอดูจีน ที่เห็นเพียงวันเดือนปีเกิด แล้วยังไม่ได้เห็นสถานที่จริง แต่บอกอะไรเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆไม่ได้เลย ไม่ควรจะเชื่อถือให้มาดูฮวงจุ้ยให้ เพราะจะทำให้การวินิจฉัยดวงชะตาของเขาไม่ครอบคลุม ปรับฮวงจุ้ยก็จะไม่ตรงตามจุดหลักของปัญหา
มาอ่านตรงนี้หลายท่านก็คงจะไม่ค่อยเชื่อถือหาว่าดวงจีนงมงาย แล้วถ้าผมบอกว่า วิชาแพทย์แผนจีน กับ วิชาดวงจีน ให้ปรัชญายินหยางห้าธาตุร่วมกันหละ ถ้าแพทย์จีนเอามาใช้รักษาโรคหายได้ ตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างชนิดเครื่องมือวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ แล้วยังต้อง งง ก็ดวงจีนไซร้ก็เช่นเดียวกัน การที่ท่านพิสูจน์หากลไกในความแม่นไม่เจอ แต่ดันใช้ทำนายออกมาแล้ว แม่น ก็ควรจะให้ความถ่อมตัวก่อนว่าเพราะปัญญาตัวท่านด้อยกว่าปราชญ์บรรพชนจีนที่สั่งสมมา ไม่ใช่มาดูถูกว่า วิชานั้น งมงาย
สอง ถ้าท่านอยากสร้างหลุมบรรพชนตามประเพณีจีน หรือบรรพชนท่านได้สร้างไว้ ท่านมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำนุบำรุงดูแลทุกๆ เทศกาลสำคัญที่เขาระบุว่าควรไปไหว้ ไม่ว่าจะ ตรุษจีน เช็งเม้ง ฯลฯ อย่าได้ละเลยและให้ความดูแลสนใจให้ สะอาด สมบูรณ์ คือไม่ต้องสวยงามอลังการราคาแพง แต่ผมเน้นว่า ให้สะอาด และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถ้ามีแตกร้าวเสียหาย ให้ทำการซ่อมแซมเสีย
สาม คำแนะนำที่ดีที่สุด สำหรับการจัดการศพบรรพชน คือ ให้ระลึกเสมอว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนา ก็จัดการตามประเพณีจีนไปไม่เสียหาย แต่สุดท้ายขอให้เผา แล้วลอยอังคารเสีย จะเป็นการจบเรื่อง ไม่ต้องมาเป็นภาระหมอดูแบบผมที่จะต้องมาคอยตรวจตราดูแลดวงชะตาใดๆอีก คือ ไม่มีหลุมศพ ก็ไม่ต้องมากังวลว่าจะแตกร้าวเสียหายให้ร้อนใจภายหลัง แต่คำเตือนคือ ใครที่ได้อ่านข้อความนี้ ไม่ใช่ว่าไปชักชวนกัน ขุดออกมาแล้วเอามาลอยอังคารนะครับ อันนี้เตือนเอาไว้
เมื่ออ่านบทความข้างต้นจบ ผมเชื่อแน่ว่าหลายคนเกิดคำถามในใจ ว่า ผีมีจริงหรือ วิญญาณมีจริงหรือ และให้คุณให้โทษได้หรือ ถ้าท่านเป็นพุทธศาสนิกชนผมจะขออธิบายให้ท่านฟังง่ายๆครับว่า เวลาท่านไปหาหมอที่ โรงพยาบาลนะครับ หมอขอเจาะเลือดท่านไปส่องกล้องตรวจ พบเชื้อไวรัส หรือเอาไปเพาะเชื้อพบเชื้อโรคแบคทีเรียร้าย เสร็จหมอก็บอกให้ท่านไปทานยาตามนี้ๆ เราก็เชื่อในความรู้ความสามารถของหมอ เชื่อในวิทยาการกล้องจุลทัศน์จนเราไม่มาย้อนถามว่า ไหนหละ ฉันมองไม่เห็นแบคทีเรียด้วย ตาเปล่าๆ ของฉัน จะมีจริงหรือ นี้คือคำตอบว่า อะไรก็ตามที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่ได้ยินเสียงด้วยหูเปล่าๆ (แต่หูสุนัขได้ยินคลื่นความถี่ได้มากกว่าเราได้ยิน) ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง และถ้าท่านเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เชื่อในปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ก็ควรที่จะเชื่อได้ว่า เทวดามีจริง สัตว์นรก เปรต อสูรกายมีจริง ภพภูมิมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดก็มีจริง ทีนี้คนก็ถามอีกว่า ถ้ามีจริง จำนวนคนบนโลกต้องเท่าเดิม ทำไมคนมากขึ้นหละ ก็เพราะว่ามันมีหลายภพภูมิที่คุณไม่ได้ไปวัดจำนวนประชากรของเขาว่าลดลงหรือไม่หนะหละครับ เหล่านี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความเห็นชอบ หรือสัมมาทิษฐิ ประตูบานแรกในการก้าวสู่ อริยมรรค อันเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น ใครก็ตามยังไม่เกิดสัมมาทิษฐิ ก็ยังถือว่าไม่ได้ก้าวเข้าประตูแรกของแก่นของศาสนาคือ วิมุตติเลยแม้แต่น้อย เรื่องเทวดาให้คุณให้โทษปรากฏในพระไตรปิฎกมากมาย ทั้งเทวดาเสกขนมทิพย์ให้เจ้าชายอนุรุทธะ ซึ่งต่อมาท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์อนุรุทธะ หรือนางชาลินี ซึ่งอดีตเป็นภรรยาของพระอนุรุทธ เมื่อเป็นเทวดาบนชั้นดาวดึงส์ก็ได้แอบเอาผ้ามาพาดที่ต้นไม้ ปล่อยชายออกมาเล็กน้อย ให้พระท่านมาเก็บเอาไปทำจีวร ที่เราถือเป็นประเพณีกันต่อมาเรื่องการทอดผ้าป่า นั้นหละครับ ที่สมัยนี้หลายคนหลงลืมว่า ทอดผ้าป่า เพื่อให้พระมีจีวรใช้ ไม่ได้ทอดเพื่อหาเงินมาสร้างนั้นทำนี้ อันนั้นเป็นส่วนประกอบเสริมเข้ามาทีหลังเท่านั้นเอง อ่านมาถึงตรงนี้ ก็ขอให้เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรมใหม่ว่า ที่เข้าใจกันมาว่า ศาสนาพุทธเราไม่มีคำว่า ดลบันดาลนั้นตามที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุท่านกล่าว ถูกต้องแล้วครับ คือ จู่ๆเทวดาจะยกอะไรมาให้เราเลยโดยไม่เคยมีกรรมร่วมกันมาก่อนนั้นไม่มีทาง ลำพังแค่ท่านไปไหว้ ไปกราบออกปากขอ โดยไม่มีกรรมร่วมกันมาก่อนแล้วจะได้ลาภตามที่ขอนั้นก็หาไม่ แบบเรื่องพระอนุรุทธที่ผมยกตัวอย่าง ลองไปหาอ่านดูว่า เทวดามาช่วยท่านเพราะอะไร มีเหตุปัจจัยอะไร มีความสัมพันธ์กับเทวดาอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นผลจากการกระทำอันมีเจตนา ที่เราเรียกกันว่า กรรม ทั้งนั้น อย่าไปมองผิดๆว่า เทวดามายุ่งอะไรกับชีวิตฉันไม่ได้ เทวดามาช่วยพระในสมัยพุทธกาลเยอะแยะครับ และเทวดาก็ออกมาเตือนมาประท้วงในการที่พระทำตัวไม่เหมาะสมหรือเดือดร้อนแก่เทวดาก็มีมากเหมือนกัน เช่นใน อรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 3 หน้า 432 มีเนื้อความโดยสรุปว่า ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีภิกษุชาวเมืองอาฬวีรูปหนึ่งต้องการสร้างกุฎี ภาษาบาลีกุฎีเป็นอิตถีลิงค์(เพศหญิง)แปลว่า กระท่อม ห้องเล็ก เพิง พอเป็นภาษาไทยส่วนนิยมเขียนกุฏิ ภิกษุนั้นเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งสวยดีจึงเริ่มจะตัดไม้ต้นนั้น เทพดามีลูกอ่อนองค์หนึ่งเกิดที่ต้นไม้นั้นอุ้มบุตรออกมายืนอ้อนวอนว่า “พระคุณเจ้าขอท่านอย่าได้ตัดวิมานของข้าพเจ้าเลย,ข้าพเจ้าไม่มีที่อยู่ไม่อาจอุ้มบุตรเที่ยวเร่ร่อนไปได้”ภิกษุนั้นไม่ฟังคำขอร้องยังคงตัดต้นไม้ต่อไป เทวดาคิดว่าพอภิกษุเห็นเด็กทารกเข้าคงเกิดความสงสารจึงได้ลูกออกมายืนยิ้มบนต้นไม้ ภิกษุยกขวานขึ้นสุดหล้าพอเห็นลูกเทวดาก็ยั้งขวานไว้ไม่ทัน คมขวานแทรกลงบนเนื้อไม้ไพล่ไปตัดแขนบุตรเทวดาขาดสะบั้นไป เทวดาองค์นั้นโกรธมากคิดจะฆ่าภิกษุนั้นให้ตายคามือเพราะความแค้น แต่พลันได้คิดว่า “ภิกษุนี้เป็นผู้มีศีล ถ้าเราฆ่าภิกษุนี้เสีย ก็จะต้องเป็นผู้ไปนรก ภิกษุนี้มีเจ้าของเราควรไปแจ้งให้เจ้าของเขาทราบก่อนจึงได้เข้าไปเฝ้า พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้วตรัสว่า ” ถูกแล้ว ๆ เทพดาเธอข่มความโกรธที่เกิดขึ้นอย่างนั้นไว้อยู่ เหมือนห้ามรถกำลังหมุนไว้ได้ชื่อว่าทำความดีแล้ว ” จากนั้นแสดงธรรมสั้นๆว่าเป็นภาษาบาลีว่า
โย เว อุปฺปติตํ โกธํ รถํ ภนฺติ ธารเย
ตมหํ สารถิ พฺรูมิ รสฺมิคฺคาโห อิตโร ชโน ฯ
แปลเป็นไทยว่า “ผู้ใดแล พึงสะกดความโกรธที่พลุ่งขึ้นเหมือนคนห้ามรถที่กำลังแล่นไปได้ เราเรียกผู้นั้นว่า “สารถี” ส่วนคนนอกนี้เป็นเพียงผู้ถือเชือก” ในอดีตใช้รถม้าต้องถือเชือก ปัจจุบันน่าจะหมายถึงพวงมาลัย
ความโกรธจึงเหมือนรถที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ผู้หักห้ามความโกรธได้จึงเปรียบเหมือนรถที่มีเบรคดีในที่นี่เบรคเทียบได้กับสติคือความรู้ตัวนั่นเอง คนเช่นนี้จึงควรเป็นนายสารถีนำพาชีวิตไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง ส่วนผู้ที่ขาดสติก็เหมือนกับคนที่นั่งหลังพวงมาลัยแล้วปล่อยให้รถที่เบรคไม่ดีวิ่งไปตามยถากรรม รถจะดีต้องมีเบรคดี คนจะดีต้องมีสติคอยกำกับ
เมื่อพระพุทธองค์ไต่ถามได้ความชัดเจนแล้วจึงได้บัญญัติวินัยในภูตคามสิกขาบทว่า “ภิกษุใดตัดต้นไม้ ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์” ภายหลังได้เพิ่มเป็นพืชพันธุ์ุอื่นๆด้วยว่า “ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์”
ทีนี้ผมกำลังจะบอกอะไร ผมกำลังจะบอกว่า เท่าที่ประสบการณ์ผมมีมา หลุมศพพังแล้วซวย ยังไม่เคยเจอใคร ซวยถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวหรือเจ็บป่วยล้มตาย เจอเพียงแต่กิจการงานสะดุด สภาพคล่องทางการเงินหายไป เท่านั้นเอง เป็นไปได้ว่านี่คือการเตือนจากเทวดาที่ดูแลปกปักษ์รักษาเราอยู่ ให้เราได้มีเวลาว่างเว้นจากงานด้วยความเครียดหรือเพราะสิ้นหวัง หรืออะไรก็ตามแต่แล้วหันกลับมามองรายละเอียดชีวิตว่าทำอะไรผิดพลาดลงไปบ้าง เหมือนอย่างที่คำสมัยนิยมตอนนี้พูดว่า ทำชีวิตให้ช้าลง จริงๆต้องต่อท้ายว่า แล้วหันกลับมาสำรวจ กาย วาจา ใจ ของตนเอง ว่าถูกแล้ว ดีแล้วหรือไม่ ประมวลจากประสบการณ์ผมคร่าวๆเท่าที่จำได้บางกรณี บางดวงก็อย่างเช่น การค้าสะดุดลงไม่มีลูกค้าเข้าทั้งๆที่น่าจะเป็นช่วงขายดี ก็ปรากฏในดวงจีนฟ้องว่าหลุมศพช่วงนี้ร้าว ทางเจ้าของก็ยืนยันว่าเพิ่งไปมาตอนตรุษจีนผ่านมาไม่กี่เดือนยังอยู่สภาพดี แต่ผมให้กลับไปตรวจสอบก็ปรากฏว่าร้าวจริง ก็ให้จัดการซ่อมแซมดังเดิม หรืออีกคนก็คือ จู่ๆทางราชการสั่งปิดชั่วคราวบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ เขาเลยไม่สามารถทำการค้าต่อได้ ก็ให้ไปดูที่ช่องใส่กระดูกของกำแพงวัด ผมทำนายไปว่า รื้อทั้งแถบ ซึ่งแทบไม่ควรเป็นไปได้เลย และเจ้าตัวก็บอกว่าเพิ่งไปมาตอน มกราคม ทุกๆปี แล้วนี้เดือน เมษายนเอง รับรองว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่พอไปที่วัดปรากฏว่า ทางวัดได้รื้อกำแพงทำใหม่ อันนี้ท่านสามารถเดินทางไปพิสูจน์ได้ที่วัดย่านฝั่งธนแห่งหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อผมจะพาไปถามเองเลย สุดท้ายอีกรายเป็นเคสที่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับหลุมฝังศพ แต่เป็นพระประธานที่คุณปู่สร้างไว้ กลับปล่อยให้ชำรุดไม่ดูแล ก็เกิดเหตุงานสะดุดอีกเช่นกัน ที่สำคัญคือ ตัวเจ้าของดวงเองและแม่ ไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีการสร้างพระประธานองค์ดังกล่าวไว้ จนกระทั่งผมยืนยันให้สืบค้นไปหา ถึงได้พบดังกล่าว ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เมื่อทำการทำนุบำรุงดูแลแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้าที่เข้าทางมาได้ดังเดิม ดวงจีน ถือว่า บรรพชนคือ รากของพลังห้าธาตุในดวงชะตาครับ ถ้ารากโดนกระทบ ต้นไม้ซึ่งเปรียบเหมือนดวงหนึ่งดวงก็โดนกระทบไปด้วย จะเห็นว่าผมพยายามยกหลายเหตุผลทั้งทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ และโหราศาสตร์ มาชี้เพื่อจะบอกท่านว่า ถ้าท่านมีศพญาติพี่น้อง บริจาคร่างกายให้เป็นการศึกษาแบบหลวงพ่อคูณทำ หรือไม่ก็เผาตามประเพณีชาวพุทธครับ กระดูกก็นำไปลอยเสีย จบเรื่องจบราวไม่ต้องมานั่งวุ่นวายคิดมากกันในภายหลัง ร่าง ที่ปราศจากวิญญาณครองอยู่ ก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เป็นเพียง ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบกันไว้แล้วแตกดับลงเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดเอามายึดถือให้มากความ ให้เราเชื่อว่าเรามีพระรัตนตรัยคุ้มครองแล้ว ยึดถือเป็นสรณะคือ ที่ระลึกอันสูงสุดแล้วก็ไม่ต้องไปหวังเพิ่งผีสางนางไม้เทวดาบรรพชนที่ไหน แต่ก็ไม่ลืมที่จะแสดงความกตัญญูไหว้กราบบรรพชนเมื่อเป็นโอกาสอันสมควรนะครับ
ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา
โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน
เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง
สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา
ภาวะนาภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา ฯ
สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง
อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส ฯ
……….ขอสัตว์ทั้งปวง ที่ประสบทุกข์ จงพ้นจากทุกข์
ที่ประสบภัย จงพ้นจากภัย และที่ประสบความโศก
จงพ้นจากความโศกเสียได้เถิด และขอเทวดาทั้งปวง จงได้อนุโมทนา
ซึ่งบุญสมบัติอันข้าพเจ้าทั้งหลายได้สร้างสมไว้แล้วนี้ เพื่อความสำเร็จ
แห่งสมบัติทั้งปวงมนุษย์ ทั้งหลาย จงให้ทานด้วยใจศรัทธา รักษาศีล
ตลอดกาลทั้งปวง ทวยเทพทั้งหลาย ที่มาชุมนุมแล้วขอเชิญกลับเถิด
………พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ทรงถึงพร้อม ด้วยพละธรรม
ด้วยเดชแห่งพละธรรมของ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย และ
ด้วยเดชแห่งพละธรรม ของพระอรหันต์ทั้งหลายขอให้ข้าพเจ้า
จงคุ้มครองรักษา ความดีไว้ได้โดยประการทั้งปวงเทอญ
ฝากแถมอีกนิด สัมมาทิฏฐิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต คือความเห็นถูกต้องชอบธรรม สิบประการ ได้แก่
1. เห็นว่าการให้ทานมีผล ผลจากการทำทานมีจริง
2. ยัญ(หรือการบูชา)ที่ทำแล้วมีผลจริง
3. การเซ่นสรวงหรือการบูชาคุณของครูอาจารย์ หรือเทวดา หรือปูชนียบุคคลมีผลจริง
4. กรรมดีมีจริง มีผลจริง กรรมชั่วมีจริง มีผลจริง
5. โลกนี้มีจริง
6. โลกหน้ามีจริง
7. มารดามีคุณจริง
8. บิดามีคุณจริง
9. สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง บ้างก็เกิดในนรก ในสวรรค์ ในภพภูมิต่างๆ
10. พระอรหันต์มีอยู่จริง
ท่านที่เข้ามาสู่แนวพุทธ ก็ไม่ควรจะไปติเตียน ไปทำลายสิ่งที่ อาม่า อากง อาปา อาม้า ท่านทำอยู่ เช่น หิ้งไว้บรรพชนไม่ใช่ว่าไปรื้อทิ้ง เอาเทวรูปเทวดาไปทิ้ง ศาสนาเราสอนให้เกิดทางปัญญาอย่างสร้างสรรค์ การที่บรรพชนในบ้านท่านเชื่อและกราบไหว้บูชาได้ชื่อว่ามีสัมมาทิฎฐิบางข้อแล้ว ควรที่ท่านจะสรรเสริญ แต่ก็ควรจะแนะนำให้ทำให้ครบๆ คือเค้าเชื่อสามข้อแรก แน่นอนว่าก็ต้องเชื่อข้อ 5-9 ด้วย เหลือแค่ข้อ 4 กับ ข้อ 10 ที่ต้องคุยกันยาวหน่อย และถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของศาสนาพุทธ คือ คำว่า กรรม นี้หละ ไม่ต้องไปใช้โทสะในการไปเตือนสติเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง กริยาหยามหมิ่นว่า เอาแต่ไหว้ๆ งมงายๆ ที่พระสงฆ์องค์เจ้าท่านไม่สนับสนุนการมาไหว้ตรงนี้ เพราะ เทวดายังไหว้กราบเคารพผู้มีศีล พระท่านเป็นผู้มีศีล หรือชาวบ้านผู้มีศีลเคร่งครัด ก็คือทำความดี สร้างกรรมดีพร้อมแล้ว มุ่งเดินไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้มาดูถูกดูแคลนว่า อย่าไปไหว้เทวดาๆ
เวลาพระให้พรเคยได้ยินไหม อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ
บทว่า อภิวาทนสีลิสฺส คือ ผู้ไหว้เป็นปกติ ได้แก่ผู้ขวนขวายกิจคือการไหว้เนืองๆ.
บทว่า วุฑฺฒาปจายิโน ความว่า แก่คฤหัสถ์ผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ แม้ในภิกษุหนุ่มและสามเณรบวชในวันนั้น, ก็หรือแก่บรรพชิตผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ในท่านผู้แก่กว่าโดยบรรพชาหรือโดยอุปสมบท (หรือ) ในท่านผู้เจริญด้วยคุณ.
สองบทว่า จตฺตาโร ธมฺมา ความว่า เมื่ออายุเจริญอยู่, อายุนั้นย่อมเจริญสิ้นกาลเท่าใด, ธรรมทั้งหลายแม้นอกนี้ ก็เจริญสิ้นกาลเท่านั้นเหมือนกัน ด้วยว่าผู้ใดทำกุศลที่ยังอายุ ๕๐ ปี ให้เป็นไป, อันตรายแห่งชีวิตของผู้นั้นพึงเกิดขึ้นแม้ในกาลมีอายุ ๒๕ ปี, อันตรายนั้นย่อมระงับเสียได้ ด้วยความเป็นผู้กราบไหว้เป็นปกติ. ผู้นั้นย่อมดำรงอยู่ได้จนตลอดอายุทีเดียว. แม้วรรณะเป็นต้นของผู้นั้น ย่อมเจริญพร้อมกับอายุแล.
นัยแม้ยิ่งกว่านี้ ก็อย่างนี้แล.
ก็ชื่อว่าการเจริญแห่งอายุ ที่เป็นไปโดยไม่มีอันตราย หามีไม่.
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ เรื่อง อายุวัฒนกุมาร
*** ทิ้งท้ายก่อนจาก หวังว่าอ่านเรื่องนี้เสร็จ จะไม่มานั่งโทษนะว่า ที่ชีวิตแย่ๆเนี่ยเป็นเพราะหลุมศพ เพราะถ้าพูดกันในเรื่อง โหราศาสตร์จีนชั้นสูงกว่าชั้นสูงแล้ว (เพราะท้่องตลาดที่พูดๆกันว่าชั้นสูงๆหนะ ยังไม่เท่าสูงที่ผมจะพูด) ตำแหน่งที่ใช้ทำนายเรื่อง หลุมศพ คือ แถวปีเกิดคนเรา นอกจากจะหมายถึงหลุมศพที่เป็นสถานที่แล้ว ยังหมายถึง การประพฤติปฏิบัติตัวด้วยความเคารพในศาสนา การเชื่อในกฎแห่งกรรม การดูแลบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งที่ผมกล่าวมานี้มีเส้นบางๆยึดโยงไปหาหลายแถว หลายช่องในดวง มากเสียกว่าพลังยึดโยงจากหลุมศพ เพราะดวงจีนให้ความสำคัญกับ หยางชี่ มากกว่า ยินชี่ คือ ชี่คนเป็น ชี่ที่เคลื่อนไหว ชี่สว่าง มากกว่า ชี่คนตาย การกระทำทางศีลธรรมเราจึ่งส่งอิทธิพลต่อชะตาชีวิตคนเรา ทางตรงที่สุด ทรงพลังมากที่สุด