จะเห็นได้ว่า สมถกับวิปัสสนากรรมฐาน สามารถทำร่วมกันได้ และไม่ใช่ว่าวิปัสสนานี่เป็นขั้นสูงของ สมถกรรมฐาน ไม่ใช่ มันของที่ทำร่วมกันได้ ในขณะที่เรา รู้ ถึงลมหายใจเข้าออก ที่สั้นที่ยาว เราก็พิจารณาถึงความเกิดความดับของลงได้ว่า โอ้หนอ หายใจเข้าแล้ว ก็ต้องหายใจออก หายใจออกแล้วก็ต้องหายใจเข้า ทุกอย่างมันเป็นทุกขังคือเป็นอยู่อย่างเดิมแน่นอนตายตัวเลยไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง ยึดถืออะไรเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาไม่ได้เลย ไม่มีอะไรเป็นของของเราทั้งนั้น แม้นแต่ว่าลมหายใจเข้าออกก็ตาม
ปัญหาคือถ้าจะทำความเข้าใจในเรื่องนี้บางทีต้องมีการจำคำพูดพระพุทธเจ้าให้ได้ว่าท่านสอนอย่างไร ลองนึกภาพเหมือนเราหัดขับรถ ทีแรกเราต้องจำให้ได้ก่อนว่า อุปกรณ์ต่างๆในนั้นมีอะไรที่สำคัญ คือพวงมาลัย เบรค ฯ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปจำนี่ว่า เปิดแอร์อย่างไร เปิดไฟหน้าอย่างไร อันนั้นเอาไว้ทีหลัง จำหลักการที่สำคัญ แล้วต้องมีผู้รู้หรือคนที่ขับเป็นมาแล้วมาอธิบาย เพื่อให้ไปได้ไว เสียเวลาโง่งมโข่งน้อย และเพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยเพราะบางทีมีรายละเอียดเล็กน้อยที่มองไม่เห็น อ้าวแล้วทำไมเขาไม่ใส่รายละเอียดเล็กน้อยนั้น เข้าไปในหนังสือคำสอนด้วยเล่า ก็ด้วยเหตุว่าความเล็กน้อยบางอันมันไม่อาจอธิบายเป็นตัวอักษรได้ และความเล็กน้อยบางอันมีการอธิบายเป็นบาทฐานมาไว้ก่อนในบทอื่นๆแล้ว เช่น เวลาสอนขับรถเขาคงไม่ต้องมานั่งอธิบายว่า หักพวงมาลัยไปทางซ้าย ซ้ายนี่มันข้างไหน ไม่ต้องเพราะเราๆท่านๆทราบมาก่อนแล้วว่า ข้างซ้าย ก็คือมือข้างไหน ข้างขวาคือมือข้างไหน ตรงนี้ก็เช่นเดียวกัน หลายครั้งหลายหนท่านกล่าวสอน คนที่พอมีความรู้มาบ้าง ไม่ใช่ไม่มีเลย การจะเข้าถึงธรรมะเลยต้องสั่สมความรู้เยอะๆ เหมือนเราดูหนังหลายๆภาค เราจะโยงได้ว่า อ้อ ภาคสี่นี่เกิดเหตุการร์แบบนี้ เพราะเมื่อตอนภาคสองว่าไว้แบบนี้นะ แต่ไม่สามารถจะเอาความทั้งหมดสี่ห้าภาคมายัดลงในหนังตอนเดียวให้ท่านสามารถรู้ได้เข้าถึงได้หมด เพราะสมองคนเรามีความสามารถในการจดจำมากน้อยไม่เท่ากัน ถือว่าพุทธพจน์นี่ท่านหยิบเอาแก่นจริงๆมาให้ได้จดได้จำเอาไว้ คุณมีหน้าที่ต้องไปศึกษามีความรู้พื้นฐานมาด้วย เพราะฉะนั้นถามว่า ขอรวยก่อน ตอนแก่ค่อยเรียนธรรมะ ทันไหม ไม่ทันแน่นอนครับ ไม่ได้ว่าอวดตัวเอง สมัยก่อนคุณพ่อผมเป็นครูสอนพุทธศาสนา บ้านผมใกล้วัด โรงเรียนที่พ่อสอนทุกโรงเรียนก็อยู่ในวัด ปริมาณหนังสือธรรมะที่บ้านนี่ เทียบสัดส่วนกับหนังสือประเภทอื่นๆคือ หนังสือธรรมะมีปริมาณมากราว สามสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ เราได้ฟังธรรมแต่เด็ก ทุกวันสำคัญของพระพุทธศาสนาพ่อแม่จะพาไปวัดและเลือกไปแต่วัดที่มีการเทศนาสั่งสอนที่ดี ท่านเน้นเรื่องนี้ เช่น วัดอุโมงค์ วัดสันป่าเรียง ฯ โรงเรียนจัดเข้าค่ายคุณธรรมทุกปีเป็นเวลา 10 ปีที่เข้าค่ายแบบไปนอนที่วัด วันสำคัญทางศาสนาจะเชิญพระมาเทศน์ และเราก็หาอ่านหนังสือธรรมะมาเรื่อยเพราะชีวิตเรามีปัญหาเยอะ พูดง่ายๆว่า ผมเริ่มธรรมะมาพอๆกับเริ่มเรียนหนังสือ ป.1 ด้วยซ้ำ เอาจริงเอาจังตอนชีวิตมหาลัยกระทั่งไปบวชเป็นเดือน ผมยังคิดว่า ยังไม่ทันเลย อ่านไม่ทันแน่ๆ ธรรมะพุทธเจ้านี่เยอะมาก ลึกมาก ต่อให้ถึงแก่ตายก็ยังเรียนได้ไม่จบ นี่คือแค่เรียนนะ ยังไม่นับว่าเรียนรู้แล้วเอามาทำให้แจ้ง ทำให้แจ้งนี่ต่างจากทำให้รู้ เมื่อคืนนี่เองที่ผมได้ข้อคิดในเรื่องนี้ จากสำนักปฏิบัติธรรมที่หนึ่งพูดเล่นๆว่า เหมือนมีคนเอาพริกมาวางบนเก้าอี้เนี่ย นายคนแรกฉลาดมากรู้หมดว่า ปลูกพริกอย่างไร พริกมีกี่พันธุ์ ต้นโตแค่ไหนรู้หมด อันนี่เรียกว่า คนรู้จริง นายคนที่สองไม่พูดไม่จามา คว้าพริกใส่ปากเลย แล้วเคี้ยว ย่อมสัมผัสได้ถึงความเผ็ดร้อน นี่เรียกว่ารู้แจ้ง คือ อ้อ พริกมันเผ็ดแบบนี้หละ เพราะฉะนั้นหากว่าเรียนไม่ทันทำไม่ทัน ทำไง พุทธเจ้ามีคำตอบดักทางปัญหาในเรื่องนี้ไว้แล้ว คือเรื่องใบไม้หนึ่งกำมือที่ชอบเอาไปแปลกันเพี้ยนๆนั้นหละ อันนี้พวกนอกรีตศาสนาชอบใช้ เขาเอาไปแปลว่า ธรรมะพุทธเจ้าแค่ใบไม้ในกำมือ มีทางเข้าหาธรรมะได้หลายแบบเปรียบเหมือนใบไม้ของต้นไม้ในป่า ทีหลังถ้าได้ยินใครอ้างพุทธเจ้าพูดนี่ ถ้าไม่สำรวจตรวจสอบกับพระไตรปิฎกเอง ต้องถามเขาเลยว่า ยกมาจากพระไตรปิฎกหน้าไหน เพราะจริงๆ ความหมายเรื่องนี้หมายถึงว่า หากเปรียบคำสอนพระพุทธเจ้าเหมือนป่าใหญ่ ใบไม้ในกำมือเดียวนี่ที่รู้แจ้งก็สามารถทำให้บรรลุพ้นทุกข์ได้ ก็คือไปนิพพานได้ ก็คือสอบผ่านนั่นหละ ก็คือ อริยสัจสี่ เท่านั้น แล้วก็มีพุทธพจน์ย้ำลงไปอีกว่า
……………………...
คามณิ ! …เพราะเหตุว่า ถึงแม้เขาจะเข้าใจธรรม
ที่เราแสดงสักบทเดียว
นั่นก็ยังจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
และความสุขแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น
ตลอดกาลนาน.
……………..
สฬา. สํ. ๑๘/๓๘๙/๖๐๕.
เล่าจื๊อก็เล่าเรื่องความเปลี่ยนแปลง ความเป็นศุนยตา ความเป็นธรรมชาติ ผมถึงว่าศึกษาลึกๆจะพบว่า พุทธกับเต๋า มีความคล้ายคลึงกันมาก คือ เห็นพริก เหมือนกันแบบที่บอก เพียงแต่ต้องเข้าใจว่า เต้าเต๋อจิงของเล่าจื้อนั้น ท่านเขียนก่อนออกประตูเมืองไป ตกทอดลงมาแค่เล่มเดียว พระไตรปิฎกนั้น มีการสังคายนา มีการจดบันทึกจากคำพระอานนท์มาได้เป็นเนื้อหาเยอะเป็นตู้ๆหนังสือ ความละเอียดในการแจกแจงเลยต่างกัน