ว่าด้วย จริต6ประการ

จริต6

ราคะจริต (ทางโหราศาสตร์มีอิทธิพลคล้ายกับ “ดาวศุกร์”)

ลักษณะพฤติกรรม = บุคลิกดี มีมาด น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ ติดในความสวย ความงาม ความหอมความไพเราะ ความอร่อย ไม่ชอบคิด แต่ช่างจินตนาการเพ้อฝัน

จุดแข็ง = มีความประณีตอ่อนไหว และละเอียดอ่อน ช่างสังเกตุเก็บข้อมูลเก่ง มีบุคลิกหน้าตาเป็นที่ชอบและชื่นชมของทุกคนที่เห็น วาจาไพเราะ เข้าได้กับทุกคน เก่งในการประสานงาน การประชาสัมพันธ์และงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ

จุดอ่อน = ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่ได้ยาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีความเป็นผู้นำ ขี้เกรงใจคน ขาดหลักการ มุ่งแต่บำรุงบำเรอผัสสะทั้ง ๕ ของตัวเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ชอบพูดคำหวานแต่อาจไม่จริง อารมณ์รุนแรงช่างอิจฉา ริษยา ชอบปรุงแต่ง

วิธีแก้ไข = พิจารณาโทษของจิตที่ขาดสมาธิ ฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง หาเป้าหมายที่แน่ชัดในชีวิต พิจารณาสิ่งปฏิกูลต่างๆของร่างกายมนุษย์เพื่อลดการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

โทสะจริต (ทางโหราศาสตร์มีอิทธิพลคล้ายกับ “ดาวอังคาร”)

ลักษณะพฤติกรรม = จิตขุ่นเคือง โกรธง่าย คาดหวังว่าโลกต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิด พูดตรงไปตรงมา ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ แต่งตัวประณีต สะอาดสะอ้าน เดินเร็ว ตรงแน่ว

จุดแข็ง = อุทิศตัวทุ่มเทให้กับการงาน มีระเบียบวินัยสูง ตรงเวลา วิเคราะห์เก่ง มองอะไรตรงไปตรงมา มีความจริงใจต่อผู้อื่นสามารถพึ่งพาได้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ค่อยโลภ

จุดอ่อน = จิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่เป็นที่น่าคบค้าสมาคมของคนอื่น และไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างวจีกรรมเป็นประจำ มีโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย

วิธีแก้ไข = สังเกตดูอารมณ์ตัวเองเป็นประจำ เจริญเมตตาให้มากๆ คิดก่อนพูดนานๆ และพูดทีละคำ ฟังทีละเสียง อย่าไปจริงจังกับโลกมากนัก เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ พิจารณาโทษของความโกรธต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย

โมหะจริต (ทางโหราศาสตร์มีอิทธิพลคล้ายกับ “ราหู”)

ลักษณะพฤติกรรม = ง่วงๆ ซึมๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาดูเศร้าๆ ซึ้งๆ พูดจาเบาๆ นุ่มนวลอ่อนโยน ยิ้มง่าย อารมณ์ ไม่ค่อยเสีย ไม่ค่อยโกรธใคร ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น เดินแบบขาดจุดมุ้งหมาย ไร้ความมั่นคง

จุดแข็ง = ไม่ฟุ้งซ่าน เข้าใจอะไรได้ง่ายและชัดเจน มีความรู้สึก มักตัดสินใจอะไรได้ถูกต้อง ทำงานเก่ง โดยเฉพาะงานประจำ ไม่ค่อยทุกข์หรือเครียดมากนัก เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ ไม่ทำร้ายใคร

จุดอ่อน = ไม่มีความมั่นใจ มองตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง โทษตัวเองเสมอ หมกมุ่นแต่เรื่องตัวเองไม่สนใจคนอื่น ไม่จัดระบบความคิด ทำให้เสมือนไม่มีความรู้ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเป็นจุดเด่น สมาธิอ่อนและสั้นเบื่อง่าย อารมณ์อ่อนไหวง่ายใจน้อย

วิธีแก้ไข = ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน ฝึกสมาธิสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง ให้จิตออกจากอารมณ์ โดยจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเล่นกีฬา แสวงหาความรู้ และต้องจัดระบบความรู้ความคิด สร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต อย่าทำอะไรซ้ำซาก

วิตกจริต (ทางโหราศาสตร์มีอิทธิพลคล้ายกับ “ดาวเสาร์”)

ลักษณะพฤติกรรม = พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความคิดพวยพุ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ในโลกความคิด ไม่ใช่โลกความจริง มองโลกในแง่ร้ายว่าคนอื่นจะเอาเปรียบกลั่นแกล้งเรา หน้าจะบึ้ง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ อัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ผัดวันประกันพรุ่ง

จุดแข็ง = เป็นนักคิดระดับเยี่ยมยอด มองอะไรทะลุปรุโปร่งหลายชั้น เป็นนักพูดที่เก่ง จูงใจคน เป็นผู้นำหลายวงการ ละเอียดรอบคอบ เจาะลึกในรายละเอียด เห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนอื่นไม่เห็น

จุดอ่อน = มองจุดเล็กลืมภาพใหญ่ เปลี่ยนแปลงความคิดตลอดเวลา จุดยืนกลับไปกลับมา ไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มี วิจารณญาณ ลังแล มักตัดสินใจผิดพลาด มักทะเลาวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความทุกข์ เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่หาทางแก้ไม่ได้

วิธีแก้ไข = เลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากไป ฝึกสมาธิแบบอานาปานัสสติ เพื่อสงบสติ อารมณ์ เลิกอกุศลจิต คลายจากฟุ้งซ่าน สร้างวินัย ต้องสร้างกรอบเวลา ฝึกมองภาพรวม คิดให้ครบวงจร หัดมองโลกในแง่ดี พัฒนาสมองด้านขวา

ศรัทธาจริต (ทางโหราศาสตร์มีอิทธิพลคล้ายกับ “ดาวพุธ”)

ลักษณะพฤติกรรม = ยึดมั่นอย่างแรงกล้าในบุคคล หลักการหรือความเชื่อถือและความศรัทธา คิดว่าตัวเองเป็นคนดี น่าศรัทธา ประเสริฐ กว่าคนอื่น เป็นคนจริงจัง พูดมีหลักการ

จุดแข็ง = มีพลังจิตสูงและเข้มแข็งพร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่าเดิม มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล มีลักษณะความเป็นผู้นำ

จุดอ่อน = หูเบา ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งศรัทธามาก ปัญญายิ่งลดน้อยลง จิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ไม่ประนีประนอม มองโลกเป็นขาวและดำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนคิดว่าถูกต้อง สามารถทำได้ทุกอย่างแม้แต่ใช้ความรุนแรง

วิธีแก้ไข = นึกถึงกาลามสูตร ใช้หลักเหตุผลพิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคลหรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวกูของกู

พุทธิจริต (ทางโหราศาสตร์มีอิทธิพลคล้ายกับ “ดาวพฤหัสบดี”)

ลักษณะพฤติกรรม = คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล มองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงไม่ปรุงแต่ง พร้อมรับความคิดที่แตกต่างไปจากของตนเอง ใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกตุ มีความเมตตาไม่เอาเปรียบคน หน้าตาผ่องใส ตาเป็นประกาย ไม่ทุกข์

จุดแข็ง = สามารถเห็นเหตุเห็นผลได้ชัดเจน และรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง อัตตาต่ำ เปิดใจรับข้อเท็จจริง จิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่จมปลักในอดีต และไม่กังวลในสิ่งที่จะเกิดในอนาคต พัฒนาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เป็นกัลยาณมิตร

จุดอ่อน = มีความเฉื่อย ไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาณ ชีวิตราบรื่นมาตลอด หากต้องเผชิญพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด ไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลังพอที่จะดึงดูดคนให้คล้อยตาม

วิธีแก้ไข้ = ถามตัวเองว่าพอใจแล้วหรือกับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มพลังสติสมาธิ พัฒนาจิตใจให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น เพิ่มความเมตา พยายามทำให้ประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น

โหราศาสตร์ดวงดาวเชื่อว่า   จากบทกลอนสรุปความหมายดาว แบบโบราณ ความว่า “รูปจริตจิตใจให้ดูจันทร์” การพิจารณาเรื่องจริตรูปจึงควรดูที่ดาวจันทร์เช่นกัน ส่วนลัคนาจะให้อิทธิพลในด้านการแสดงออกเชิงบุคลิกภาพเสียมากกว่า ดังนั้นไม่ควรถ่ายวิธีพิจารณาจริตไปทางลัคนามาก จริตเป็นเรื่องภายในตัว แก่นของใจแกนของจิตก็คือดาวจันทร์

ธาตุไฟเปรียบได้กับโทสะจริต
ธาตุดินเปรียบได้กับสัทธาจริต
ธาตุลมเปรียบได้กับวิตกจริต
ธาตุน้ำเปรียบได้กับราคะจริต

พุทธิจริตเปรียบได้กับข้อดีของทุกธาตุมารวมกัน
โมหะจริตเปรียบได้กับข้อเสียของทุกธาตุมารวมกัน

ในดวงชะตาของใครที่มีปัจจัยสถิตในราศีธาตุไฟ,ดิน,ลม,น้ำ อย่างละเท่าๆกัน มีราคะจริตมาก
ในดวงชะตาของใครที่มีปัจจัยสถิตในราศีธาตุไฟ กับ ลม มากกว่าธาตุอื่นๆ มีโทสะะจริตมาก
ในดวงชะตาของใครที่มีปัจจัยสถิตในราศีธาตุน้ำ กับ ดิน มากกว่าธาตุอื่นๆ มีโมหะะจริตมาก
(โทสะ,โมหะ,ราคะ เป็นจริตฝ่ายอกุศล ถ้ามีมากในตัวตนต้องรีบกำจัดออกทันที)

ลักษณะการเดิน

ราคะจริตและสัทธาจริต
เป็นคนมีกิริยาอาการนุ่มนวลละมุนละไม พอดีพองาม การเดินจะไม่เร็วไม่ช้า เมื่อวางเท้าลงก็วางอย่างสม่ำเสมอ เมื่อยกเท้าขึ้นก็จะยกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าสังเกตรอยเท้าต้องสังเกตตอน ที่เดินเท้าเปล่าบนพื้นทรายละเอียดที่ชุ่มๆ จะเห็นว่ามีรอยเท้ากระโหย่ง รอยเท้าเว้าแหว่งเป็นแห่ง เพราะวางเท้าเบา ไม่ค่อยจะมีมูลดินกระจายรอบๆ รอยเท้า

โทสจริตและพุทธิจริต
ปกติจะเป็นผู้ที่มีอิริยาบถฉับไว ลักษณะการเดินจะเดินไปเหมือนจิกปลายเท้า เดินเร็วลงเท้าหนักวางเท้าเร็วและยกเท้าเร็ว เพราะเป็นคนรีบเร่งอยู่เสมอ รอยเท้าจะปรากฏว่าปลายเท้าจิกลง ดินหรือทรายจะถูกขุดลงทางปลายเท้าลึกมาก มีมูลดินหรือมูลทรายกระจายมาทางปลายเท้ามาก

โมหจริตและวิตกจริต
ผู้ที่มีจริตแบบนี้โดยทั่วไป จะเป็นผู้ที่มีอิริยาบถเฉไฉไม่แน่นอน ลักษณะการเดินจะเดินไปโดยอาการสะเปะสะปะ เดินเร็วบ้างช้าบ้างสลับกันไป ทอดเท้าเหมือนคนขย่มตัวและเมื่อยกเท้าขึ้น เหมือนคนขย่มตัวเช่นกัน รอยเท้าจะปรากฏว่าจิกลงทั้งปลายเท้าและส้นเท้า เส้นรอยเท้าที่ติดกับพื้นดินเลอะเลือน เพราะคนจริตนี้เวลาวางเท้า เท้าจะสั่นรัว เมื่อดูอาการที่เดินไปนั้นจะเห็นว่า คดไม่ตรงทาง คือ เซซ้ายเซขวา สลับกันไป

 

ลักษณะการยืนการนั่งของคนจริตต่างๆ

ราคะจริตและสัทธาจริต
เลือกที่ยืนเลือกที่นั่ง ถ้าไปกันเป็นกลุ่มและสถานที่นั้น เลือกยืนเลือกนั่งได้ตามสะดวก มักเลือกยืนเลือกนั่งในที่เหนือลม ทางที่มีแสงสว่าง และทางที่สามารถทอดสายตาได้ไกลพอสมควร อาการที่ยืนและนั่งละมุนละไมน่าดูน่าชม แขนทั้งสองมักปล่อยลงข้างลำตัว

โทสะจริตและพุทธิจริต
ยามยืนหรือนั่ง มีกิริยาอาการกระด้างไม่น่าดู ชอบใช้มือไพล่หลัง ค้ำสะเอวหรือรัดคอ ที่ยืนที่นั่งไม่ค่อยเลือก ก้าวเท้าไปตกจังหวะยืนที่ตรงไหนก็ยืนได้ จะขรุขระเปรอะเปื้อนบ้างก็ไม่ถือสา

โมหะจริตและวิตกจริต
เมื่อยืนหรือนั่งก็มีอาการบ่งเซ่อ มีลักษณะเหม่อลอย ง่วงๆ ซึมๆ

 

ลักษณะการนอน

ราคจริตและสัทธาจริต
เมื่อจะนอนก็ไม่รีบร้อน ค่อยปูที่นอนให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยเอนตัวลงนอน มีการวางอวัยวะต่างๆ น้อยใหญ่ให้เรียบร้อย นอนด้วยอาการน่าดู เมื่อถูกปลุกให้ลุกขึ้นก็ไม่รีบผลุนผลันลุกขึ้น แต่จะค่อยๆ ลุกด้วยอาการปกติ

โทสจริตและพุทธิจริต
มีอาการรีบร้อนเข้านอน เหมือนกับหนีใครมานอน การจัดที่นอนก็จัดแบบส่งๆ ไป ตามแต่จะได้ ไม่คำนึงถึงความสวยงาม หรือความเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่อย่างใด สักแต่ว่าตนเอง ซุกหัวนอนเป็นอันใช้ได้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนแผ่หราตามสบาย ไม่สนใจว่าจะเกะกะขวางทาง หรือใครจะมาว่าอย่างไรไม่คำนึงถึง เมื่อถูกปลุกให้ลุก ก็รีบลุกขึ้นอย่างผลุนผลัน มีอาการดุนิดๆ หน้าตาบูดบึ้ง ตาแดงขมึง คล้ายกับโกรธใครมาเป็นเวลาแรมปี ในขณะนั้นถ้ามีใครมาถามอะไร จะให้คำตอบด้วยเสียงกระโชก โฮกฮาก เหมือนกับมีความเดือดดาลอยู่ในใจ

โมหะจริตและวิตกจริต
ลักษณะการนอนไม่น่าดู มีอาการค่อนข้างน่าเกลียด นอนวางมือเกะกะโดยไม่รู้ตัว การจัดปูที่นอนไม่ค่อยเรียบร้อย ไม่เป็นระเบียบ สักแต่ว่านอนได้ก็นอนไปทั้งอย่างนั้น ส่วนมากมักชอบนอน คว่ำหน้า เมื่อถูกปลุกให้ลุก จะลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า มีอาการเซื่องซึมงัวเงีย ง่วงเหงาหาวนอน แสดงอาการ บิดไปบิดมาน่ารำคาญ บางครั้งก็พาลล้มตัวลงนอนกลับไปอีก โดยไม่สนใจใยดีกับสิ่งใดใดในโลกทั้งสิ้น

 

ลักษณะการทำงานของคนจริตต่างๆ

ราคะจริตและสัทธาจริต
ตามปกติทั่วไปจะมีความตั้งอกตั้งใจในการทำงาน ทำงานได้อย่างเรียบร้อยประณีต มี ความละเอียดรอบคอบ ละเอียดอ่อน เช่น การกวาดวัด คนราคจริตจับไม้กวาดอย่างเรียบร้อย ไม่รีบร้อน ไม่กวาดคุ้ยดินคุ้ยทรายให้กระจัดกระจาย กวาดได้สะอาดเรียบร้อยงามตา เหมือนเอาเสื่อปูหรือเอาดอกไม้มาปูลาดฉะนั้น

โทสจริตและพุทธิจริต โดยธรรมชาติเป็นผู้มีหลักการ เคารพกฎเกณฑ์ มีระเบียบวินัยสูง ไม่ว่าเรื่องงานหรือ เรื่องอื่นๆ ตามธรรมดา เมื่อจะทำการงานสิ่งใด มักทำไปด้วยความรีบร้อน ฉับไว ได้ผลสำเร็จ แต่ค่อนข้างไม่เรียบร้อยสวยงาม เช่น เมื่อปัดกวาดที่อยู่อาศัยก็ตั้งใจปัดกวาดอย่างเข้มแข็ง กวาดอย่างรวดเร็ว หากเห็นข้าวของสิ่งใดขวางหน้า หากคว้าด้วยมือไม่ทันใจใช้เท้าเขี่ยก็มี มือกำไม้กวาดแน่น ท่าทางขึงขัง เหมือนกำลังกำอาวุธจะทำการสู้รบ กวาดไปอย่างรีบร้อน สะอาดเป็นหย่อมๆ บางครั้งทำให้ฝุ่นละออง ฟุ้งอยู่ทั่วไป

โมหจริตและวิตกจริต ปกติจะไม่ค่อยชอบทำอะไร ถ้าไม่ถูกใครหรือสิ่งใดมาบังคับ ก็สามารถนั่งเฉยๆ ได้ เป็นวันๆ เมื่อจำเป็นจะต้องคิดหรือทำอะไร รู้สึกว่ายากไปหมด รู้สึกเกินความสามารถ พลังกายพลังใจ ไม่ค่อยมี ทำอะไรก็จะรู้สึกเบื่อก่อนที่งานนั้นจะสำเร็จ ตามธรรมดาเมื่อจะทำกิจสิ่งใด มักทำด้วยอาการหยาบเหมือนกับไม่เต็มใจทำ ไม่มีความถี่ถ้วน หมักหมมคั่งค้าง เอาดีอะไรไม่ค่อยได้ เช่น เมื่อปัดกวาดที่อยู่อาศัย มือที่จับไม้กวาดจะกำอย่างหลวมๆ กวาดไปตามแต่จะได้ กวาดๆ หยุดๆ ไม่สะอาดเรียบร้อย ทำให้มูลฝอยกระจุยกระจาย ไม่ถี่ถ้วนในการปัดกวาด ตามธรรมดาคนทั่วไปเวลากวาด เขาจะเริ่มกวาดจากมุมที่ไกลประตูก่อน แล้วค่อยกวาดเรื่อยมาจนถึงประตู จึงตักผงไปทิ้ง หรือกวาดจากทางเหนือลมไปหาใต้ลม แต่คนจริตนี้ กลับเริ่มกวาดจากบริเวณ ใกล้ประตูก่อน แล้วจึงไปกวาดที่ไกลๆ และค่อยกวาดย้อนกลับเรื่อยมาที่บริเวณใกล้ประตูอีก หรืออาจกวาดทวนลมจนฝุ่นผงฟุ้งตลบ พูดง่ายๆ คือ ทำงานไม่เป็น ไม่มีปฏิภาณ

 

ลักษณะการบริโภคอาหารของคนจริตต่างๆ

ราคจริตและสัทธาจริต ตามธรรมดาย่อมชอบใจอาหารอันละมุนละไม มีรสอร่อยหวานมัน เมื่อทำการบริโภค ก็ทำคำข้าวให้กลมกล่อมพอดีคำ ไม่เล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไป เป็นนักชิมรส ชอบลิ้มรสแปลกๆ บริโภคไปด้วยอาการไม่รีบร้อน ได้อาหารที่ถูกปากแม้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็รู้สึกมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก

โทสจริตและพุทธิจริต ตามธรรมดาย่อมชอบใจอาหารอันหยาบ ซึ่งมีรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด ขมจัด ฝาดจัด เมื่อทำการบริโภคก็ทำคำข้าวโตจนคับปาก ไม่ใช่เป็นนักชิมรส บริโภคไปด้วยอาการอันรีบร้อน รวดเร็ว ประสบอาหารที่ไม่ถูกปากถึงใจแม้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็มีอาการหงุดหงิดขัดเคืองใจ อาจจะพาลโกรธใครต่อใครในขณะนั้นขึ้นมาก็ได้

โมหจริตและวิตกจริต ตามธรรมดาย่อมมีความชอบใจในรสอาหารไม่แน่นอน เพราะเป็นคนเซ่อเซอะ ไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อทำการบริโภคก็ทำคำข้าวเล็กๆ ไม่กลมกล่อม บริโภคด้วยอาการมูมมาม เมล็ดข้าวตกเรี่ยราดเกลื่อนกลาดกระจายไป ปากคอเลอะเทอะไม่น่าดู จิตใจฟุ้งซ่าน คือ บริโภคไปอย่างคนใจลอย คนทั้งหลายเห็นเข้าแล้วมักนึกตำหนิในใจ

 

ลักษณะการสังเกตดูของคนจริตต่างๆ

ราคจริตและสัทธาจริต ตามธรรมดาเมื่อได้เห็นรูปสวยงาม ต้องตาต้องใจตน หรือได้ฟังเสียงไพเราะ ดมกลิ่นหอม ลิ้มรสที่ถูกใจ ได้เครื่องสัมผัสละเอียดอ่อน ต้องกับรสนิยมของตัว แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ธรรมดา ซึ่งสำหรับคนอื่นแล้วไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก แต่เขามีความสนใจอย่างลึกซึ้ง เกิดความ พออกพอใจอย่างจริงจัง เหมือนกับเกิดความพิศวงงงงวยอย่างเหลือเกิน มีอาการราวกับว่าไม่เคยพบเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างก็ไม่ถือสา ไม่หยิบยกขึ้นมาเป็นผิดหรือถูกแต่อย่างใด คงติดในคุณภาพแม้เพียงน้อยนิดที่มีอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง ยังตามดู ตามฟัง หรือหากว่าตนจำเป็นต้องจากสิ่งเหล่านั้นไป ก็จากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างลึกซึ้ง บางทีถึงกับต้องหันหลังกลับมามองแล้วมองอีกด้วยความเสียดายก็มี

โทสจริตและพุทธิจริต ตามธรรมดาเมื่อได้เห็นรูปที่ไม่สวยงาม ไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจแห่งตน หรือได้ฟังเสียง ที่ไม่ค่อยไพเราะ ได้กลิ่นที่ไม่หอม ได้รสที่ไม่ถูกใจ ได้สัมผัสที่หยาบ ซึ่งไม่ต้องกับรสนิยมของตัว แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยธรรมดา ไม่หนักไม่หนา ซึ่งสำหรับคนอื่นแล้วไม่ค่อยมีความสำคัญแต่อย่างใด แต่สำหรับ ผู้มีจริตนี้แล้ว กลับรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง และมีอาการเหมือนคนบ้าดีเดือด ซึ่งปราศจากเหตุผล ไม่อยากดู ไม่อยากฟัง ไม่อยากแตะต้อง ถ้ามีข้อบกพร่องประกอบอยู่บ้างแม้เพียงนิดหน่อยในสิ่งเหล่านั้น ก็จะยกเอามาเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดเคืองใจ ไม่นึกถึงความดีแม้มีอยู่มากมาย เมื่อสิ่งเหล่านั้นผ่านเลยไป ก็ไม่รู้สึกเสียดาย เมื่อตนจำเป็นต้องจากหรือหลีกไป ก็ใคร่ที่จะพ้นออกไปอย่างเดียว ไม่มีการแลเหลียว คิดห่วงหน้าพะวงหลัง หรืออาลัยอาวรณ์ในสิ่งเหล่านั้นแม้สักนิดก็ไม่มี

โมหจริตและวิตกจริต ตามธรรมดาเมื่อได้เห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่ารูปนั้นจะสวยงามหรือไม่สวยงาม ก็ตาม มักจะไม่มีความคิดเห็นต่อรูปนั้นแต่อย่างใด ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ตนเองก็เป็นคนเฉยๆ ซึมๆ ไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยสนใจอะไรกับใครเขา ต่อเมื่อมีผู้อื่นให้ความเห็นหรือออกเสียงหนุนข้างใดขึ้นมา จึงจะมีความเห็นคล้อยตามเขาไป เป็นบุคคลที่ตกอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า มีบุคคลอื่นเป็นปัจจัย คนอื่นใครเขาว่าดีก็พลอยว่าดีไปกับเขาด้วย คนอื่นเขาออกปากชมก็พลอยชมกับเขาด้วย ถ้าคนอื่นเขาออกปากติก็พลอยติกับเขาด้วย แม้ในอารมณ์อื่นๆ คือ การได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส และได้สัมผัส ผู้ที่มีจริตนี้ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ กล่าวคือ มีผู้อื่นเป็นปัจจัยทั้งสิ้น ต้องอาศัยผู้อื่นทุกอย่าง

 

สาเหตุของจริต มาจาก กรรมที่ทำในอดีต โดยแบ่งตามอกุศลมูล ดังนี้

ผู้สะสมกุศลกรรมไว้ในอดีตชาติ โดยอุบายวิธีที่น่ารักน่าชอบใจ กับ ผู้จุติจากวิมาน มาปฏิสนธิในโลก …เป็นราคะจริต 

ผู้ในอดีตชาติ สั่งสมกรรมอันก่อเวร คือ การฆ่า ทรมาน จับกุมคุมขัง กับ ผู้จุติจากนรก หรือ กำเหนิดงู มาปฏิสนโนโลก …เป็นโทสจริต 

ผู้ในอดีตชาต ดื่มน้ำเมามาก และเว้นจากการศึกษาสนทนาธรรม กับ ผู้จุติจากกำเหนิดดิรัจฉาน มาปฏิสนธิในโลก …เป็นโมหจริต 

ดังนั้น : กรรมที่ทำในอดีต จึงเป็นสาเหตุของจริต…….

 

ที่มา : ก้อปมานานแล้วไม่รู้เอามาจากไหน แต่ก็ขอขอบพระคุณเอาไว้ ณ ที่นี้ อย่างสูง