ผู้หญิงคือผู้โชคดี เพราะได้เห็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ดีกว่าผู้เกิดเป็นชายธรรมดา
ผู้หญิงคือผู้โชคดี เพราะได้เห็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ดีกว่าผู้เกิดเป็นชายธรรมดา
สภาวธรรมนั้น ที่คุณได้เคยเจอคือ ความเมตตา
(บทความเขียนจากการ อวยพรวันเกิด พี่ผู้หญิงคนหนึ่ง)
ขอให้หนึ่งในวันนี้ระลึกถึงพันวันหมื่นวันที่ล่วงมาแล้ว
ณ วันที่เราเกิดมาเป็นลูกของ ผู้ชายผู้ประเสริฐ และหญิงผู้ประเสริฐ ได้เลี้ยงดู แลหมู่ญาติที่อุปถัมภ์ ว่าเราขนาดไหน เขายังไม่ปล่อยมือจากเรา ด้วยคำว่า ลูกหลาน คือ เป๋นลูกเป๋นหลาน จ้างมันเต๊อะ
ก็ ณ วันนี้ เราก็เป็นลูกเป็นหลานเหมือนเดิม หน้าที่ๆเพิ่มมาคือเป็นแม่ ยิ่งย้ำความรู้สึกสำนึกว่า ต้องใช้แรงพยายามมากเพียงไร ที่จะให้ความรัก ความรักที่ปิดประตูใส่ก็ต้องให้ ไม่คุยกับเราก็ต้องให้ ไม่สนใจเราว่าจะน้ำตาตกแอบร้องไห้ก็ต้องไห้ ความรักที่ไม่เคยให้เงินให้ทองเลี้ยงดูเราก็ต้องให้ ให้เพราะคำว่า ลูก ลูกที่แม่รัก
เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะเป็นวันที่เราจะได้เอา ความหนักแน่นของความรักของแม่ ซึ่งหากเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่า เมตตาธรรม เพราะความรักที่มาจากคนเป็นแม่ ทั้งในสมัยที่เราเคยเป็นผู้รับมากให้คืนน้อย หรือตอนนี้เราเป็นผู้ให้เสียมาก ได้ความรักคืนมาน้อย ความรักนี้ต่างจากความรักฉันท์ใคร่พิสวาส จึงเรียกว่า ความเมตตา คือ ปรารถนาให้เขา หรือ ลูกเรานั้นเอง มีความสุข โดยมิได้หวังสิ่งใดตอบแทนแม้นกระทั่งการรักตอบ
เมตตานี้ หากทำบ่อยๆ ทำให้เกิด ทำให้มีในใจบ่อยๆแล้ว เรียกว่า เมตตาภาวนา สามารถบรรลุถึงธรรมขั้นสูงๆขึ้นได้ การปฏิบัติธรรมของผู้เป็นแม่ จึ่งทำได้อย่างนี้อีกทางหนึ่ง คือ เอาความเป็นแม่ ความรักของแม่ มาเป็นสิ่งสอนตนว่า การจักเมตตาใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องทำแบบนี้ ทำประหนึ่งว่า เขาเป็นลูกของเราเสียคนหนึ่งนั้นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสสอนใน กรณียเมตตสูตร วรรคหนึ่งว่า มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมานัง พระพุทธเจ้าท่านว่า
มารดาหรือคนเป็นแม่นี้ รัก และทนุถนอม ลูกที่เกิดในตน เกิดในร่างกายของแม่ เกิดจากเลือดเนื้อของแม่นี้ ยอมพร่าชีวิตของตนเอง เพื่อลูกฉันใด
บุคคลพึงเจริญเมตตาจิต ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สุด ในสัตว์ทั้งปวงฉันนั้น
ความข้อนี้ เราเป็นหญิง และยิ่งเป็นแม่คนแล้ว เราทราบดีกว่าบุรุษว่า ความรักของแม่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสใน กรณียเมตตสูตรนี้ แค่ไหน เพียงไร และอย่างไร
ต้นไม้จะงอกงามดี อาศัยแสงแดด การรดน้ำ หนอนไส้เดือนที่คอยพรวนดิน แลมูลอุจจาระของสัตว์เป็นปุ๋ยฉันใด การทำให้ลูก ให้ครอบครัวเจริญ ก็ย่อมไม่ใช่การเททุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าดี ลงไปรดใส่ต้นไม้นี้ฉันนั้น หากเป็นการดูแลโดยรอบ คือ ให้ครอบครัวเราด้วย เพื่อนบ้านด้วย เพื่อนสามีด้วย เพื่อนลูกด้วย โรงเรียนของลูกๆด้วย การดูแลชีวิตใครสักคน ต้องดูแลไปในทุกๆสถานที่ๆเขาไปในยามเด็ก เพื่อคอยอบรมสั่งสอนและคุ้มครองป้องกันภัยเขา แต่ต่อเมื่อยามเขาโตแล้ว เขาย่อมสามารถไปในทุกๆที่ได้ด้วยตนเอง เพราะมีคำสอน จากแม่ หรือคำของแม่ ติดตามตัวเขาไป
พูดให้ฟัง
ทำให้ดู
มีความสุขให้เห็น
หากจะต้องสอนใครสักคน สามองค์ประกอบนี้ต้องครบ เพราะพูดแต่ไม่ทำ เขาก็เสื่อมศรัทธา พูดแล้วทำแล้วก็ยังบ่น ยังทุกข์กับที่ทำ เขาก็ลังเลสงสัยว่าหากทำตามไปจะดีหรือร้าย จึงต้องทำแล้ว ให้เกิดสุข และมีความสุขให้เห็น ใช้ชีวิตตนเองเป็นพยานในการสอนคน ใช้ตนเองสอนลูกตน เพราะไม่มีใครแล้ว จะมารักลูกเราได้เท่า คนเป็นแม่ เพราะการให้ความรักของแม่นี้ยากนัก ยากกระทั่งพระพุทธเจ้านำมาเปรียบกับ ความเมตตาที่ไม่มีประมาณ คือ ความเมตตาที่ไร้ขอบเขตมิอาจนับได้ หรือพูดภาษาปัจจุบันคือ แม่รักลูกและอยากให้ลูกมีความสุขแบบไม่มีเงื่อนไข และไม่เคยหยุดที่จะรัก และให้ความรักได้เลย
ทำชีวิตให้เป็น ธรรมะ แล้วจะได้ไม่ต้องสละชีวิตครอบครัว ชีวิตอยู่กับลูก ไปปฏิบัติธรรม ปลีกตนเองจนสังคม ทั้งๆที่ยังมีภาระ ต่อแต่เมื่อธรรมะในใจได้กล้าแกร่งขึ้นแล้ว หรือมีเหตุปัจจัยใดหนุนส่งให้ธรรมะงอกงาม สละเสียทางโลก หรือตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสละ คราวนั้นก็จะได้มีฐานที่ตั้งอันมั่นคงว่า เราไม่ได้ ทิ้งใครเพื่อเอาตัวรอดแต่คนเดียว
ตายละ กะว่าจะอวยพรวันเกิดให้ สักบรรทัดสองบรรทัดก็พิมพ์เสียยาว เพราะพิมพ์แล้วคิดว่า อาจจะนำไปเผยแพร่สอนใจ คนเป็นแม่คนอื่นต่อไปได้ ขอขอบพระคุณวันเกิด วันนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เป็นแรงบันดาลใจที่ผมได้เล่าเรื่องดีๆ ไว้ให้กำลังใจคนอื่น เห็นไหมว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆ เราก็ทำให้มีประโยชน์ได้ ทำให้เกิดสุขได้ หัวใจของการเข้าถึงธรรมะ สำหรับคนเป็นชาวบ้าน คือ หัดมีความสุขในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เราจะไม่ต้องกระวนกระวาย หาอะไรอร่อยกิน หรือหาของสวยผ้างามมาประดับร่างกายตัวเองเลย เพราะเรารู้ความจริงแล้วว่า ความสุขนั้น เกิดขึ้นที่ใจ ไม่ได้เกิดขึ้นจากใคร ความทุกข์ใจ ก็เกิดขึ้นที่ใจ และไม่ใช่ใจใคร ก็ใจเราเองนี้หละ เพราะฉะนั้น ใครก็ดับทุกข์ใจให้เราไม่ได้ อะไรอะไรก็ทำให้เราดับทุกข์ใจไม่ได้ นอกจาก เราเป็นผู้มีปัญญาเห็นเองว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ โลกเรานี้ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด และทุกข์เท่านั้นที่ดับ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็จะไม่มีเราในโลกนี้ ไม่มีเราในโลกหน้า ไม่มีเราในระหว่างโลกทั้งสอง มีแต่ขันธ์ห้า ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ แปรปรวนไปตามสิ่งที่กระทบต่างๆ แค่นั้น เติมธรรมะที่ยากปิดท้ายทิ้งไว้ให้คิด เผื่อจะได้เป็นประกายใจ ในวันหน้า สาธุ