โหงวแซ ซาแซ ที่แท้จริง (พูดเรื่องเนื้อสัตว์ ในเทศกาลงดเนื้อ-กินเจ)
ทุกๆเทศกาลในแต่ละปีของจีนที่สำคัญนั้น ผมมักจะมาเขียนเล่าประวัติหรือเรื่องราวต่างๆอันเป็นเกร็ดความรู้เอาไว้เป็นข้อคิดเตือนใจหรือให้กำลังใจทุกๆท่านเสมอ โดยที่ไม่เคยเขียนซ้ำกันแม้จะอยู่ในซ้ำเทศกาลกันก็ตาม เพราะพยายามค้นคว้าหาเรื่องใหม่ๆ เอาชนิดที่ในไทยไม่สามารถหาอ่านได้ง่ายๆ มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นวิทยาทาน และอีกเช่นเดิม สำหรับเทศกาลกินเจประจำปีนี้ จะขอเล่าเรื่องที่ย้อนศรกับเทศกาล คือ เรื่องของการเซ่นไหว้ เนื้อสัตว์ หรือไหว้ซาแซ
ขอบอกว่าจริงๆเทศกาลนี้ที่จีนไม่มีนะ เจ้าของประเทศอย่าง สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ ไต้หวันก็ตาม ไม่มีการจัดฉลองหรือไหว้เจ้า หรือกินเจกันเอิกเริกแบบพี่ไทยเราที่จัดกันอย่างยิ่งใหญ่ 9 วัน เพราะฉะนั้น ตรงนี้เลยได้ข้อคิดอย่างนึงว่า ชาวจีนโพ้นทะเลโดยเฉพาะในไทยได้รับการสั่งสมปลูกฝังเอาธรรมะในจิตใจจากพุทธศาสนามหายานมามากพอควร และเรื่องหนึ่งที่รับมาก็คือ การไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก แต่ว่า ท่านกินเจ แค่ 9 วันต่อปี แต่เทศกาลอื่นนับสิบเทศกาล และบางเทศกาลกินเวลานานมากในการไหว้เจ้าหรือฉลองด้วยเนื้อสัตว์ อย่างเช่น ตรุษจีน ที่มีห้าวันโดยประมาณ ยังไม่นับรวมการไหว้เช็งเม้ง ไหว้สารทจีน ที่ทุกๆเทศกาลผมเชื่อแน่ว่า บ้านคนจีน ไหว้ซาแซ กัน ไม่ค่อยมีใครไหว้เจ หรือผลไม้เพียวๆหรอก สมัยก่อนนี่เจอเทศกาลพวกนี้ที เพื่อนเอย เหล่าซือเอย เอาหมู เอาไก่ ชิ้นโตๆมาให้ผมเสมอ เพราะเสร็จจากการไหว้เจ้า แล้วไหว้ทีไหว้จริงจังครับ จัดเบาๆกันทั้งนั้น คือ ไหว้ทีเบากระเป๋าตังค์ไปถึงสิ้นเดือนหละ เพราะเชื่อว่า ไหว้มาก ศรัทธามาก ก็ได้รับมาก แต่ผมขอเสริมนิดนึงว่า ไหว้มาก ก็ต้องฆ่ามาก ก็บาปมาก ฮ่าๆ เอานะ อ่านแล้วคงร้อนๆหนาวๆกันนิดหน่อย แต่ก็เถียงไม่ขึ้นหรอกรับรอง เพราะถ้าคุณไม่ซื้อ เขาก็ไม่ขาย และถ้าคนไม่ต้องเอามาขาย ก็ไม่มีใครฆ่า บางคนอาจเถียงว่า ก็เขาเลี้ยงมาเอง ให้อาหารมัน ดูแลมัน ลงทุนเท่าไหร่หละ ก็มีสิทธิทำได้ ผมก็จะถามกลับไปว่า สัตว์ทั้งหลายที่คุณเลี้ยงนั้น คุุณทำให้มันเกิดได้หรือไม่ และเมื่อมันตาย ชุบชีวิตมันได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ นั่นแปลว่าคุณไม่ใช่เจ้าของ พุทธองค์ทรงตรัสกับพี่น้องกษัตริย์อยู่ครั้งนึง หลังจากที่พี่ชายคนนั้นเอาธนูยิงนกหรือห่านป่าสักอย่างผมจำไม่ได้ถนัด ตกร่วงลงมา แล้วเจ้าชาย(อนาคตพระพุทธเจ้าของเรา) ไปช่วยเอามาทำแผล ช่วยให้นกพ้นจากความตาย พอพี่ชายคนที่ยิงได้มาทวงคืน บอก ข้ายิงได้นะ นกเป็นของข้า ท่านเลยได้ช่วงสวนกลับเลยว่า “ผู้ฆ่าชีวิตหรือคือเจ้าของชีวิต ผู้ที่ ให้ ชีวิตต่างหาก คือเจ้าของชีวิต นกนี้ไม่ใช่ของท่านพี่ดอก”
เพราะงั้นผมขอเจริญรอยตามพระบาทพระศาสดา ในช่วงที่ท่านมีกำลังฮึกเหิมในการทานเจ จะขอพูดตำนานของ ซาแซ ว่าที่จริงแล้วมันมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร ทำไม และอย่างไร
ซาแซ หรือที่ออกเสียงในภาษาจีนกลางว่า ซานเซิง พูดง่ายๆก็เกิดจากการบูชาเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สมัยก่อนของจีน ที่ลดขั้นของความศรัทธาแบบดุร้ายจากการบูชายัญจ์ด้วยมนุษย์ มาเป็นสัตว์แทน และโบราณจริงๆนี่เค้าไหว้กันที เป็นตัวใหญ่ๆ เป็นตัวๆเลย คือทุ่มทุนสร้างมากๆ เพื่อแสดงความเคารพสูงมาก คิดดูเมื่อก่อนไหว้รวมกันทั้งหมู่บ้าน ก็คือคนในทุกๆบ้านมารวมกันที่ศาลเจ้าของหมู่บ้านและก็ช่วยกันมาประกอบพิธี เรามามองดูสมัยนี้ก็คิดว่าสัตว์สามตัวเอง หาไม่ยากหรอก แต่ถ้าเป็นแผ่นดินจีนหนะครับ เค้าไม่อุดมสมบูรณ์แบบเมืองไทยเราเท่าไหร่หรอก อากาศหนาวกว่า ปลูกพืชได้ยากกว่า สัตว์ก็หายากกว่าเลี้ยงยากกว่า ฉะนั้น เอาสัตว์ใหญ่มาตั้งบูชา 3 ตัวได้นี่ ถือว่าทุ่มทุนมากๆแล้ว ไม่งั้นเตียวหุย คงไม่โกรธกวนอูที่ยกโม่หินที่ปิดปากบ่ได้ แล้วเอาเนื้อหมูในบ่มาแจกจ่ายคน แบบเป็นฟืนเป็นไฟหรอก ทั้งๆที่ เตียวหุยพูดเองนะว่า ใครยกโม่หิน (ที่เค้าคิดว่า โคตรหนัก มึงยกไม่ได้แน่) ออกได้ ข้าจะยกเนื้อในบ่อที่มีโม่หินทับปิดปากบ่อไว้ ให้ฟรีๆไปเลย
ทำไมต้อง ซาแซ ไม่ใช่ โหงวแซ หรือจับแซ คือ ทำไมต้องใช้เสื้อสัตว์สามอย่าง ไม่ใช้ ห้าอย่าง หรือ สิบอย่าง ก็ต้องขอเล่าว่า
คำว่า ซาแซ มีต้นตอที่มาจากสามสัตว์มงคลที่เป็นต้นตอของเรื่อง ก็คือ สัญลักษณ์แทนผองสัตว์ทั่วโลก คนจีนยึดการผสานสมดุลย์ ฟ้า ดิน คน ก็เลยมีสัญลักษณ์แทน ฟ้า ดิน คน อันได้แก่ สัตว์ที่อยู่บนฟ้า อยู่บนดิน และเลื้อยคลายหรืออยู่ใต้ดิน ก็คือ สัตว์ปีก สัตว์สี่เท้ามีกีบ และสัตว์มีเกล็ดกระดอง เพราะฉะนั้น ซาแซ จริงๆถ้ายึดตามความหมายก็คือ การไหว้ด้วยสัตว์ปีกหนึ่งอย่าง สัตว์มีเกล็ดเป็นงูเป็นปลาหนึ่งอย่าง และสัตว์มีกีบเท้า เช่น หมู แพะ วัว อีกหนึ่งอย่าง รวมเป็นสามอย่าง เรียก ซาแซ สามสัตว์มีชีวิต โดยคนจีนถือว่า เจ้าแห่งสัตว์ปีกคือ หงส์ เจ้าแห่งสัตว์เดินเท้ามีกีบ คือ กิเลน และ เจ้าแห่งสัตว์มีเกล็ดมีกระดองหุ้ม คือ มังกร ข้อพิสูจน์นี้ก็มีกล่าวไว้ในเรื่อง ไซอิ๋ว บทนึงว่า 《西游记》“万物有走兽飞禽,走兽以麒麟为之长,飞禽以凤凰为之长。ว่านอู้โหย่วโจ่วโซ่วเฟยฉิน โจ่วโซ่วหนี่ฉีหลินเหวยจือจ่าง เฟยฉินหยี่เฟิ่งหวงเหวยจือจ่าง แปลว่า สรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกแบ่งใหญ่ได้เป็นสัตว์เดินเท้า-สัตว์มีกีบ กับสัตว์บิน สัตว์เดินเท้า-สัตว์มีกีบ มีกิเลนเป็นใหญ่ และสัตว์บิน – สัตว์ปีก มีหงส์ เป็นใหญ่ นี่ต่างหากคือความหมายเดิมๆ แท้ๆ ของคำว่า ซาแซ และด้วยการอยากหาสิ่งดีๆมาตอบแทนเซ่นไหว้เทพเจ้า คนเราก็เลยยึดเอาว่า ต้องถวายเนื้อสัตว์ สามอย่าง ไม่ใช่ ห้าอย่าง หรือสิบอย่าง หากแต่ว่าคนหน้าไหนจะสามารถไปล่าเอา หงส์ กิเลน และมังกร เอามาได้เล่า ก็เลยมีความคิดแบบคนอีกหละ คือ หาสัญลักษณ์แทนแล้วกันวะ หาแบบเต็มไม่ได้ก็เอาอย่างย่อ คือเอาตัวแทนเอา คล้ายๆกันที่ต่อมา จะฆ่าสัตว์ทั้งตัวก็มากไป ก็เลยเอาแค่หัว เสร็จก็ย่อลงมาอีก เพราะชุมชนมันเริ่มเล็กลงๆ จากเมื่อก่อนในหมู่บ้านรู้จักกัน สมัยใหม่นี่ ข้างบ้านยังไม่รู้จักเลย ก็เลยลดเหลือเป็นชิ้นๆ อนาคตก็คงไหว้แบบแช่แข็งหละครับ เชื่อหมอดูคนนี้เถอะ
ไป๋ตี้
- อู่ตี้ เทพอู่ตี้
ดั้งเดิมจริงๆ ซาแซ เค้าใช้ ม้า วัว และแพะ ในการเซ่นไหว้
เรื่องนี้มีต้นตอบันทึกเอาไว้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ว่าในยุคสมัย ตงโจว หลายพันปีที่แล้ว ใช้เซ่นไหว้ในเทศกาลฉลองไหว้ ไป๋ตี้-กษัตริย์ขาว(白帝) หนึ่งในห้า มหากษัตริย์ของจีน หรือ อู่ตี้ (五帝) ปรากฎหลักฐานในบันทึก หลายเล่ม เช่น สื่อจี้(史记-บันทึกประวัติศาสตร์)ของท่านซือหม่าเชียน(司马迁)เรียบเรียง และฮั่นซู(汉书-บันทึกราชวงศ์ฮั่น) ตามที่ท่าน ปันกู้(班固) เรียบเรียงไว้
เรื่องราวของ อู่ตี้ ถ้าอยากทราบสามารถหาอ่านได้ในบทความต่อไปของผม
แล้วในสมัยนี้ที่เห็นศาลเจ้าของลัทธิเต๋าในจีน ไหว้ วัว แพะ หมู มากจากไหน ทำไมไม่ใช้ม้า
อันที่เท่าที่พอหาได้ และจากความเห็นส่วนตัวนะ เขาไม่ใช้ม้าเปลี่ยนมาเป็นหมูแทน เพราะว่า ระดับสามัญชนที่ไม่ใช่ขุนนางแม่ทัพ ไหนเลยจะสามารถมีม้าได้ เนื่องจากม้าต้องถูกสงวนเอาไว้ทำศึก เอะอะให้ประกอบพิธีฆ่าม้ามาเซ่นไหว้ คงกลัวจะมีม้าไม่พอขี่ตอนสงคราม แต่อีกนัยหนึ่งก็ต้องบอกว่า มีที่มาจากสัตว์ที่สามารถเลี้ยงในบ้านได้ง่าย คือ เลี้ยงแพะ เลี้ยงวัว เลี้ยงหมูได้ ก็เลยเอาสัตว์เลี้ยงนี้หละมาเซ่นไหว้ จนมีในบันทึกตำราโบราณจีน 清史稿 ยกเอาไว้เป็น ไท่เหลา太牢 ไท่ก็คือพิเศษๆดีงาม เหลาคือสัตว์ในคอก ก็คือสัตว์เลี้ยงชั้นดี พอมีคำว่าชั้นดี มันก็เลยตามมาด้วยคำว่า เหมาะแก่การเอาให้คนที่เคารพ หรือก็คือเอามาเซ่นไหว้ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้เพิ่งมีอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง (ราชวงศ์สุดท้ายของจีน) นี่เอง
ซาแซที่เห็น เป็นแบบเจครับ คือปั้นหุ่นให้เหมือนเอา ไม่ใช้สัตว์มาฆ่า
พอมาสมัยจีนในปัจจุบัน เกิดมีความคิดแตกแขนงมาอีกว่า ซาแซ สามารถแบ่งเป็น ใหญ่ และเล็ก โดยที่ ซาแซแบบชุดใหญ่ จัดเต็ม大三牲 ก็ประกอบด้วย หมู แพะ วัว ตามความเชื่อเดิม ส่วนซาแซแบบพอเพียง ชุดเล็ก小三牲 ได้แก่ ไก่ เป็ด และปลา และต่อมาก็มีการปรับประยุกต์ว่า ซาแซนั่นหนะ มีไก่ มีปลา มีหมู ก็เป็นซาแซได้ละ เพราะนั้นท่านคิดเหมือนผมไหม คนส่วนใหญ่ทาน เนื้ออะไร ที่มันหาทานง่ายๆ รับรองเข้าร้านอาหารไหนก็มี ก็คือ ไก่ ปลา และหมู นี่หละ ส่วนแพะ หรือเนื้อวัว หรือเนื้อเป็ดนี่ต้องร้านดั้งเดิม หรือภัตาคารใหญ่หน่อยถึงจะมีเอามาทำอาหาร ถ้าจะเอาอาหารข้าวแกงหรือตามสั่งทั่วๆไป สั่ง ไก่ ปลา หรือหมู รับรองมี ประเด็นนี้มันสือให้เราเห็น สองด้านสำคัญ
หนึ่งก็คือ วัฒนธรรมหรือธรรมเนียมสามารถมีการปรับประยุกต์เปลี่ยนแปลงได้ การอนุรัษษ์วัฒนธรรมจึงไม่ใช่การทำตามแบบเดิมร้อยเปอร์เซ็น ต้องเนี้ยบ ต้องเปะหมด แต่เป็นการพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย โดยที่ไม่ลืม หัวใจหรือจุดมุ่งหมายเดิมของธรรมเนียมนั้น ทีนี้พอมาย้อนดูเรื่อง ซาแซ ขุดคุ้ยลงไปแล้วแทบไม่มีตำนานอะไรเลยที่จะบังคับว่า ต้องเซ่นไหว้เทพเจ้าด้วยเนื้อนะ เทพเจ้าจะชอบ จะโปรดมาก ไม่มีเลย มีแต่คนเรานี่หละ คิดกันเอา แต่งกันเอา หากันเอาเข้าไป นั้นถ้าเกิดเราจะมาไหว้แบบเจ ไม่ใช้เนื้อสัตว์ไหว้ มันจะแปลกอะไรเล่า ถูกไหม ลามปามไปถึงการเอาของไปถวายพระ เราก็เอาของเจ หรือมังสวิรัตไปถวาย อย่างน้อยก็ไม่เสี่ยงต่อการละเมิดศีลข้อหนึ่ง ปาณาติปาตา อันได้แก่ 1.สัตว์มีชีวิต 2.รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต 3.จิตคิดจะฆ่า 4.พยายามที่จะฆ่า 5.สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น คือถ้าถวายแบบเจซะ ไหว้แบบเจซะ ตัดไปได้หมดทุกข้อเลยว่า ของที่ถวายบริสุทธิ์แน่ๆ ไม่มีแปดเปื้อน แต่ถ้าถวายแบบเนื้อสัตว์ อย่างน้อยก็แปดเปื้อนไปข้อสองข้อไม่มากก็น้อย เพราะคุณก็รู้นี่ว่าเค้าฆ่ามาขาย
สองก็คือ การบริโภคของคุณ นั้นหละ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่อง ซาแซ คือจากเดิมที่เป็น แพะ ม้า วัว ก็มาเป็น แพะ ม้า หมู และก็เปลี่ยนมาเป็น หมู ไก่ ปลา เอ้านี่หายไปตั้ง 2 อย่าง ใน 3 อย่างของซาแซโบราณเลยนะ คือ แพะ กับวัว หายไป มีปลา กับไก่มาแทนที่ ด้วยความที่หาซื้อหาง่าย มันหาซื้อง่ายเพราะอะไรก็เพราะคนกินเยอะ กินเยอะก็เลี้ยงเยอะ เอามาฆ่าเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราลดการบริโภคพวกนี้ลง ต่อไปคนก็จะปลูกผักมาขายเยอะ เนื้อสัตว์ที่ต้องนำมาฆ่าก็ลดลงไป
จากความสำคัญทั้งสองเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เราไหว้ ซาแซ แบบเจ ได้ทุกเทศกาล ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะจริงๆมันไม่มีข้อบังคับตายตัว คุณกล้าเปลี่ยนหรือไม่หนะหละ หรือจะยอมพ่ายแพ้ต่อคำว่า ก็แต่เดิมบ้านเราไหว้กันแบบนี้ อากงอาม่าสอนแบบนี้มา คือผมขอบอกว่า ถ้าลูกหลานมันจะใฝ่ธรรมฉลาดขึ้น พวกอากงอาม่าบนสวรรค์ก็คงจะดีใจกับคุณแน่ๆหละ ถูกไหม
เพิ่มเติมอีกหน่อยที่เรียกว่า โหงวแซ ก็มาจากเนื้อสัตว์ห้าอย่าง โหงวคือ ห้า ไงครับ มีความคิดมาจากเรื่อง ห้าธาตุ ตามวิชาจีนพื้นฐาน ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ หรือบางคนก็บอกว่า มีความเชื่อมาจาก ห้าโชค หรือ อู่ฝู โหงวฮก อันได้แก่ เพราะฉะนั้นอันที่เพิ่มขึ้นมาจาก ซาแซ อีกสองอย่าง ก็คือ เครื่องใน (ตับ) กับ เป็ด หรือ ปู กุ้ง ฯลฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ในยัญชนิดใดมีการ ฆ่าโค ฆ่าแพะ แกะ ฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดถูกฆ่า ดูกรพราหมณ์ เราไม่สรรเสริญยัญเห็นปานนี้แล อันประกอบด้วยความริเริ่ม
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหัตมัค ย่อมไม่เกี่ยวข้อง
ยัญเห็นปานนั้น อันประกอบด้วยความริเริ่ม แต่ในยัญชนิดใด ไม่มีการฆ่าโค ไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร สัตว์ต่างชนิดไม่ถูกฆ่า เราย่อมสรรเสริญยัญเห็นปานนั้นแล อันปราศจากความริเริ่ม คือ นิจทาน อนุกุลยัญ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค ย่อมเกี่ยวข้องยัญเห็นปานนั้น อันปราศจากความริเริ่ม ฯ
มหายัญที่มีการริเริ่มใหญ่ คือ อัสสเมธ ปุริสเมธ การบูชาชื่อสัมมาปาสวาชเปยยะ และนิรัคคละ เหล่านั้น ไม่มีผลมาก
ในยัญใดมีการฆ่าแพะ แกะ โค และสัตว์ต่างๆ พระอริยะทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ย่อมไม่เกี่ยวข้อง
ยัญนั้น แต่ยัญใดไม่มีการริเริ่ม เป็นอนุกุลยัญที่ชนทั้งหลายบูชาเสมอ และแพะ แกะ โค สัตว์ต่างๆ ไม่ถูกฆ่าในยัญใด พระอริยะทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ย่อมสรรเสริญยัญนั้น นักปราชญ์ย่อมบูชาอย่างนี้ ยัญนี้มีผลมาก เพราะเมื่อบุคคลบูชาอยู่อย่างนี้ ย่อมมีแต่ความดีไม่มีความชั่ว และยัญย่อมไพบูลย์ ทั้งเทวดาย่อมเลื่อมใส ฯ