ควรเตรียมคิดอย่างไร กับชีิวิตในยุคนี้และอนาคตที่จะเข้ามา
บทความนี้เขียนไว้ใน พ.ศ.2565 ตอนที่โลกกำลังเผชิญกับสภาวะโลกร้อนที่รุนแรงอย่างชัดเจน ซีกโลกนึงกำลังร้อนขึ้น อีกซีกนึงที่เคยร้อนกำลังหนาวเย็นและฝนตกมากขึ้น น้ำในหลายที่กำลังแห้งลงไปอย่างมากแต่น้ำแข็งในหลายที่ก็กำลังละลาย ตามที่เคยพยากรณ์ไว้มาหลายปีล่วงหน้าแล้วทางเพจ
น้ำในโหราศาสตร์จีน คือ เงินทองและการสื่อสารด้วย การมองโลกด้วย แปลว่า การที่น้ำในโลกเกิดปัญหาแบบนี้ อันที่จะตามมาคือ การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆมากๆของสามเรื่องนี้นะครับ นั่นก็แปลว่า ไม่ว่าท่านจะเตรียมรับมือดีขนาดไหน ท่านรับไม่ไหวหรอก บริษัทใหญ่ๆมากมายกำลังนั่งวางแผนแล้วว่าจะเอาตัวรอดจากวิกฤตแบบนี้ยังไงดี คนส่วนมากของประเทศเป็นชนชั้นกลางกับล่างแบบนี้
ยังไงก็พลิกไม่ได้หรอก เพราะว่ามีบริษัทเจ้าใหญ่ๆเค้าคอยคุมเกมให้ตัวเค้าก็ต้องรอดก่อนอยู่ดี มีเพียงการปรับวิธีคิดและวิถีชีวิตของตนเองเสียใหม่ ทำอะไรก็ได้ที่ เน้นความรู้จักกันอย่างจริงใจตามที่ผมย้ำลงไป ไม่ค้าขายแบบฉาบฉวยขอให้ได้เงินเป็นพอละ นึกถึงร้านน้ำชากาแฟ หรือร้านโชว์ห่วยที่เราไปถึงบางที ไม่ต้องสั่งของ เค้ารู้จักเรา เค้าจัดให้ได้เลย แถมลดราคาให้อีก บรรยากาศแบบนั้นครับ เน้นการทำธุรกิจที่ไม่สนปริมาณมากๆ เอาคุณภาพรู้จักกันเข้าว่า แต่ก่อนอื่นก็จะมีคนหลงติดกับก่อน คือท่านจะได้เห็นคนที่ดูรวยๆ ธุรกิจที่ดูสดใส พากันร่วงเอาๆ เพราะพวกเค้าใช้เงินหมุนกันทั้งนั้น เท่ากับว่า ท่านที่เป็นหนี้ทางธุรกิจอยู่ต่างหากที่ควรระวังให้มากๆ แก้ไขเสีย ส่วนท่านที่เป็นหนี้ชีวิตอย่างอื่น อันนั้นยังพอจะประคองไปได้
รอบนี้รุนแรงพอๆกับหลังสงครามโลกครั้งที่สองครับ ไม่ใช่แค่ สมัยฟองสบู่แตก เพราะงวดนี้ ฟองไม่แตก ค่าเงินก็ไม่ลอยตัวมาก แต่ทรัพยากรจะหายากเอามากๆ นั้นหละ แย่งกันแน่ๆเป็นช่วงๆไป ถ้าขืนมีชีวิตแบบฟุ่มเฟือยมากๆจะแย่เอา แต่ที่ห้ามคือ ห้ามอดกินอดใช้ เพราะการกินใช้ของท่านกับร้านที่ท่านสนิท คนที่ท่านรู้จัก มันหมายถึง เงินไปต่อยอดเขา อีกหน่อยเขาจะได้ทำของดีๆ มีคุณภาพและราคาเป็นธรรมออกมา อย่าเพียรซื้อของห้าง ให้หันมาอุดหนุนชาวบ้าน และคนกันเอง อย่าคิดอดกินอดใช้ ขอย้ำ งานนี้ท่านจะเห็นมาจากประวัติศาสตร์แล้วว่า การประหยัดอดกินอดใช้ไม่ใช่ทางแก้ใดๆเลย การช่วยกันเสริมแรงให้คนไทยค้าแข่งกับต่างประเทศได้อย่างมีคุณภาพ หรือการทำให้การบริโภคในประเทศมีคุณภาพจะดีกว่า ยกตัวอย่างคนทำผลไม้ คุณไปซื้อจากเขาไม่ซื้อห้าง สนับสนุนคนไม่ใช่สารเคมี ให้ปีหน้าเค้าได้มีขายมีกำไรต่อ คุณก็จะได้กินของดีไปเรื่อยๆ ดีกว่าอดกินอดใช้แล้วต้องไปกินถูกๆที่อุดมยาฆ่าแมลง หรือแพงๆมากๆที่อยู่ในห้าง
ผมกำลังเสนอว่า กินใช้เหมือนเดิมนั้นหละครับ ถ้าไม่มีหนี้ทางธุรกิจเยอะ แต่ให้เปลี่ยนที่ใช้ที่กินหน่อย ดูให้มากกว่าเดิมสักหน่อย เพื่อสนับสนุนคนที่เค้ากำลังทำสิ่งดีๆให้แก่สังคมครับ ถ้าท่านไม่มั่นใจในคุณภาพ เสียค่าโง่นิดหน่อยก็ช่างเถอะครับ ขอให้ท่านได้ซักถามคนขายหรือคนผลิต เดียวท่านจะได้เจอคนที่เค้าทำของมีคุณภาพจริงๆ ทีนี้ก็สบายละ คนดีมีน้ำใจ ยังไงท่านก็ได้ของดี แบบสบายใจไปยาวๆ ดีกว่าไปคบกับพวกค้าขายเชิงการค้า เหมือนหุ่นยนต์ ที่วันนึงอาจจะขึ้นราคาโดยไม่แยแสอะไรเราเลย เพราะฉะนั้น วิกฤตนี้เอาชนะได้ด้วยการ กินใช้กับเจ้าประจำ ครับ ซึ่งต่อให้ดีหรูอร่อย แต่มารยาทแย่ หรือปากคอเราะร้าย ก็ไม่ควรจะไปกินใช้ คุณธรรมไม่มีต่อให้ได้ของดีวันนี้ วันหน้าก็พังครับ แล้วก็อย่าเพ่งแต่จะต้องใช้ของไทย ชนชาติอะไรก็ได้หมดครับ ที่เค้าทำดีทำของดีๆ
ใครที่ชีวิตพัวพันอยู่กับการสื่อสาร มือถือ อินเตอร์เนต ต้องปรับใหญ่มากๆ ถ้าไม่ปรับต่อไปอยู่ไม่รอดครับ ผมกำลังพูดถึงพฤติกรรมการบริโภคของคนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากๆ และการมีคู่แข่งจากต่างชาติออกมาตัดราคาแบบที่ท่านยังตกใจว่าทุนที่ท่านไปเอามายังแพงกว่าที่เค้าเอามาขาย สิ่งที่ควรทำมากๆสำหรับทุกอาชีพคือ การลดการเสพข่าวสารครับ ถ้าขืนยังไม่ลด เงินท่านจะเกลี้ยงกระเป๋าเอาแบบง่ายๆจนท่านเองยัง งง ว่า หายไปได้ยังไง ลงทุนกับความรู้ครับ ผมเน้นมาตลอด เพราะนอกจากท่านจะได้ความรู้ ท่านจะได้คนรู้จักที่มีความรู้ ลองคิดว่าท่านรู้จักหมอดีๆสักคนนึงที่คอยดูแลตอบคำถามให้แบบฟรี ๆกับท่านไม่รู้จักใครเลยไปถามที่ รพ ทีท่านเสียต่ำๆหลักพันหลักร้อยครับ ไปบ่อยๆก็หลายบาท นี่คือตัวอย่างที่ผมบอกว่า การประหยัดกินใช้ไม่ใช่ทางรอด แต่การเปลี่ยนทิศทางการเข้าหาแหล่งสินค้าหรือการไปหาความรู้หาสังคมดีๆอยู่นี่ต่างหากจะทำให้รอด ในขณะที่องุ่นนอกท่านต้องซื้อในห้างกันพวงละไม่ต่ำกว่า 2-300 บาท ผมสามารถทานแบบเดียวกันได้โดยที่มีคนส่งมาให้ฟรีๆ หลายพวง ในขณะที่ส้มโอในห้างลูกละ 200 บาท ผมสามารถกินลูกเหมือนกันรสอร่อยเท่ากันด้วยความสบายใจว่าเค้าไม่ใช้เคมีเยอะในราคา 70 บาท ในขณะที่ผมซื้อพืชพรรณแห้งจากชาวสวนบนดอยที่ปลูกผมได้ของแถมมาเป็นผักอีกลัง ขิงอีกลัง ฟรีๆ ท่านอาจจะต้องไปซื้อผักกาดแก้วแบบนี้ราคาคิดต่อหัว ขิงก็เช่นกัน ในขณะที่ข้าวมันไก่จังหวัดที่ผมอยู่แทบไม่ได้อะไร ราคา จานละ 60 บาท ทานสองจานก็ยังไม่อิ่มดี ผักก็ไม่ค่อยได้ ผมไปทานร้านที่รู้จัก ได้ทั้งผักไม่อั้น น้ำซุป และข้าว อิ่มละ 60 บาทสารอาหารครบและได้ทานของดี ดีกว่าเยอะ
การประหยัดกินประหยัดใช้ไม่ใช่ทางออกและการยึดติดแบรนด์หรือสินค้าบางอย่างที่ท่านไม่ลองใช้ของดีๆที่คนทำมาใหม่ๆอย่างอื่นเลย จะยิ่งทำให้ท่านเสียเงินไปแบบที่ไม่ควรเสีย ไปเรื่อยๆ
ห้าธาตุในดวงจีนมีหลักการแก้ไขอยู่ ธาตุน้ำเสียหายเราแก้ได้ด้วยธาตุทอง คือ การปรับเวลากินอยู่ของตัวเองใหม่ ปรับกิจวัตรที่ทำในแต่ละวัน ปรับเวลาการตื่นการนอน ปรับเวลาการทำงานหรือการไปพักผ่อนเอาเสียใหม่ สำหรับคนที่ทำงานแบบกินเงินเดือน ให้ปรับที่ของกินเป็นหลัก ทำอย่างไรให้ได้กินอาหารเช้าดีๆ ทำอย่างไรให้ได้กินอาหารเย็นแบบเบาๆ ส่วนของที่อยากกินทั้งหลายตามใจปากให้เอามากินมื้อกลางวันเสีย ถ้าพ้นเวลาแล้วก็เอาวันใหม่ ไม่ต้องไปเพียรกินตอนเย็น ใช้เวลาตอนกลางคืนในการกินหรือพักผ่อนให้น้อยลง เปลี่ยนเป็นการเข้านอนไวๆ แล้วตื่นเช้ามืดเอา
ธาตุน้ำคือการเชื่อมประสานและการเลื่อนไหลต้องถามว่าอะไรที่กำลังเลื่อนไหลไปหละ ไม่ใช่น้ำกำลังไหล ธาตุดินต่างหากกำลังไหลอยู่ แล้วดินไหลไปนั้นเกิดอะไร เกิดผลเป็นธาตุทอง งานนี้เลยไม่ใช่ว่าทองหนุนน้ำแก้น้ำได้ แต่เป็นการแก้ที่การไหลของทุกกระแสที่กระทบชีวิต แสดงว่า นอกจากเวลาเป็นการไหล ที่ต้องแก้อีกที่คือ การขับของเสียของร่างกายด้วยการทำให้การขับถ่ายหนักถ่ายเบาเป็นปรกติที่สุด อันสัมพันธ์ต่อการทำงานของหัวใจที่ดีและสมองที่แจ่มใสขึ้น น้ำที่ท่านกำลังกินใช้เลยควรใส่ใจมากๆ ว่าได้ดื่มน้ำที่มีแร่ธาตุเพียงพอลงไปใช่ไหม ไม่ใช่สักแต่ว่าน้ำที่กรองสะอาดมาก มากจนไม่มีอะไรในนั้นเป็นแต่น้ำเปล่าๆ ให้ไปปรับอะไรที่ตนเองทำบ่อยๆนั้น เป็นการไหลอันสุดท้าย สิ่งที่ทำแบบเพลินๆบ่อยๆให้ไปหาทางปรับดูสิว่าอันไหนควรทำเพิ่ม อันไหนควรลดลง ถึงจะจัดกระบวนชีวิตใหม่ได้ และนี่จะกระทบทั้งความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นในบ้านในงาน และการใช้จ่ายของท่านไปด้วย
คิดดูว่าทำไมเวลาเดินทางไปเที่ยวมักหิวนั่นหิวนี่ คนขายอะไรริมทางก็อยากทาน เหตุที่ทำให้เขาขายได้คือ ตัวท่านเองกำลังเหนื่อยอยู่ภายในและจิตใจผ่อนคลายลง ก็เหมือนกันการปรับกิจกรรมให้ตัวเองแบบนี้จะทำให้การบริโภคของท่านเปลี่ยนไป และนั่นหมายถึงช่องทางการกินใช้ที่อาจเปลี่ยนไปด้วย
คนชอบบอกว่ายุคนี้อย่าออกจากงานประจำ แต่คนที่ให้คำปรึกษาจนคนได้ที่เรียนที่ทำงานจากที่ตนงานในยุคแบบนี้อย่างผม กลับจะบอกท่านว่า ถ้าท่านลองปรับเวลาแล้วทุกอย่างมันดูสะดุด ให้ท่านมามองที่สถานที่ครับ แล้วหากที่ทำงานหรือที่อยู่ไม่สอดคล้องต่อชีวิตที่ท่านอยากได้ ลาออกครับ จะรออะไร เครียดที่ตรงยุคสมควรเครียดนี่ถูกต้องแล้ว เหมือนหน้าหนาวเราก็สมควรต้องหนาว แสดงว่าร่างกายเราปกติครับ แต่ถ้าคนอื่นหนาวกันหมดท่านรู้สึกเฉยๆนี่สิ เช่นเดียวกัน ในยุคที่ควรต้องปรับตัวหนักหรือเครียดหน่อย ท่านต้องเครียดหรือหาอะไรใหม่ๆแบบยากเย็นนั้น ถูกต้องแล้ว ผมขอแสดงความยินดีด้วย
โหราศาสตร์จีนคือการเข้าใจธรรมชาติ แปลว่าเราจะไม่ไปทำทุกๆอย่างให้สมใจคน แต่เราจะทำหน้าที่ประคองทุกอย่างให้พอเดินต่อไปได้แทน แล้วหน้าที่เดินจะไปสูงไปต่ำ จะไปสำเร็จแค่ไหน ขึ้นกับขาและแรงเดินแต่ละคนแล้ว ผมถึงดีใจกับท่านในยุคที่ควรหนาวเนื้อสั่นใจแบบนี้ ท่านใดที่เจอความเปลี่ยนแปลงอย่างบ้าคลั่งอาจพังทั้งยืน ก็ขอแสดงความดีใจ ว่าไม่ล้มจนตายหรอกครับ กำลังประสบสิ่งที่ถูกยุค แสดงว่า ถูกต้องแล้ว คนที่บอกว่ากำลังได้ดี ลอยลำ อนาคตแค่เอื้อมนี่ต่างหากที่น่าห่วง ในยุคร้ายท่านได้ดี แสดงว่าตอนร้ายซาลงไป ท่านจะแย่เอาละทีนี้ ในยุคที่ควรเปลี่ยนเช่นนี้ กลั้นใจเปลี่ยนซะครับ
ถ้าคนในอดีตไม่ยอมเลิกใช้ไม้สร้างบ้าน เปลี่ยนมาใช้ปูนแบบทุกวันนี้ ป่านนี้บ้านเมืองเราคงไม่มีต้นไม้เหลือเท่าไหร่ ยังไม่พอน้ำท่วมไฟไหม้ทีอาจจะมีปัญหากว่านี้ ลองนึกย้อนไปหายุควุ่นวายที่คนกำลังเปลี่ยนการกินอยู่และทรัพยากรต่างๆเอาเถอะ เลิกเชื่อตามทฤษฎีหัวนอกที่บอกให้ตั้งความฝันและเดินไล่ตามมันหรือทำชีวิตเพื่อจะได้มันมาได้แล้วครับ
ชีวิตที่มีคุณภาพเกิดจากการกลั่นสามสิ่งให้รวมกันให้ได้ คือ ประสบการณ์ที่มี พรสวรรค์ที่ถนัด กับสิ่งที่ชอบ หาทางให้สามสิ่งนี้ได้รวมกัน หรือสรุปลงตรงกลางแล้วทำอันไหนเกิดรายได้ขึ้น เอาตรงนั้นหละ อย่าเอะอะเอาแต่ที่ชอบหรือที่อยากเป็นอยากได้เข้าว่า ถ้าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาดูเหมือนว่าชีวิตไม่ได้เตรียมตรงนี้ให้เลย แสดงว่าไม่อาจเป็นมือฉมังในวงการได้ ต่อให้มีสองสิ่งนี้แต่พรสวรรค์ในเรื่องนั้นน้อย ทำทีไรต้องบากบั่นมากๆ เสียเวลาเอามากๆ ในขณะที่คนมีพรสวรรค์เค้าทำแปปเดียวได้เลย ก็ขอให้ถอยมาหน่อยเถอะ เพราะขืนแบบนี้นานเข้า ร่างกายจะเหนื่อยมากไป ใจก็จะมีแต่ความท้อแท้ ชอบมากๆก็ไม่ไหว ไม่ต่างอะไรจากการไปรักคนที่เขาไม่รักเรา
คำถามตัวโตๆคือ ถ้าหาได้แล้ว หรือกำลังเป็นอยู่แล้ว แต่รายได้ไม่ตอบโจทย์นี่ทำอย่างไร ให้ไปมองสามตัวนั้นเหมือนเดิมครับ แล้วตัดสิ่งที่ชอบออก เหลือแค่ ประสบการณ์สะสมอะไรมา กับมีพรสวรรค์อะไร ถ้าบวกกันแล้วเป็นงานแบบไหนที่จะเข้ามาเติมเต็มได้ ให้ทำงานนั้นหละเป็นการเสริมเพื่อมาหล่อเลี้ยงงานตัวแรกที่มีสามตัวครบตามที่บอก คือฝืนใจไปทำสิ่งที่ไม่ชอบบ้างเพื่อเอามาเลี้ยงสิ่งที่ชอบนั้นหละ
คำถามสุดท้ายของใครหลายคนที่อาจจะ เจอสามสิ่งและพอมีรายได้แล้ว ก็คงอยากจะถามว่า แล้วถ้ายังไม่ดัง ไม่ประสบความสำเร็จ คนก็ไม่ค่อยรู้จัก ลำบากมากในการหาลูกค้าใหม่ๆ หรือทำหลายทางรายได้ก็ยังไม่สมใจหละ ก็ย้อนมาหาข้อแรกที่ผมบอกไปครับ ปรับการกินการใช้ของตัวเองสิ แสดงว่า มันต้องมีอะไรตามอำเภอใจที่บ้าๆบอๆ แน่ๆในนั้น เช่นบางคนจะเป็นพ่อครัวร้านก็ขายดี แต่จ้างลูกจ้างเยอะเกิน เครื่องครัวต้องหรูๆ อย่างดีจากเมืองนอก หรือบางคนทำงานประจำ เสื้อผ้า หน้า ผม ต้องดี เข้าร้านดีๆ ซื้อของดีๆใช้แพงหน่อยก็เอาเพื่อให้ดูดี ใครเขาจะมามองคุณขนาดนั้นกันครับ ถ้าเค้ามองมากๆผมแนะนำให้ลาออกไปทำอาชีพนางแบบนายแบบดีกว่า
สุดท้ายเห็นไหมว่าสิ่งที่จะเอาชนะทั้งหมดในยุคนี้ได้คือ ธาตุทองเหมือนเดิม ความอ่อนน้อมถ่อมตน คนอาจจะงงตามที่เคยเรียนมา ดวงจีนนั้น อ่อนน้อมถ่อมตนน่าจะธาตุไม้ ไม่ก็ธาตุดิน ทำไมผมบอกเป็นธาตุทอง เพราะตามรากศัพท์ความหมายจริงๆ ธาตุทองแปลว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวด ดังนั้น คนเราจะอ่อนน้อมถ่อมตนได้ไม่ใช่พฤติกรรมเดิมๆสิครับ ถ้าพฤติกรรมเดิมนั้นเป็นของคนธาตุไม้แน่นอน ดินยังไม่ค่อยอ่อนเท่าไม้เลย หนักไปทางอยากให้ทำอะไรก็ทำมากกว่า คนเป็นดินนี่เข้ากับคนอื่นได้หมดแต่ก็ไม่ค่อยสนคนอื่นไปด้วยในตัว
ธาตุทองคือการปรับตัวเองให้อ่อนน้อมถ่อมตน ความถ่อมตนจะทำให้อยู่ง่ายขึ้นเยอะ โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่สำเร็จหรือไม่มีชื่อเสียง ถ้าถ่อมตนได้ สบายเลยครับ คนเขาก็จะเมตตาเราช่วยเหลือเราง่ายด้วยเพราะเราเป็นชาไม่ล้นถ้วย ตัวเราเองก็จะไม่เสียเงินมากมายไปกับค่าประดับประดาตนเองหรือค่าทำให้ตัวเองดูดีหรือค่าโฆษณาด้วย เช่นบางคนต้องลงทุนไปเรียนต่อ หรือไปเรียนเมืองนอกคอร์สแพงๆนะ เพียงเพื่ออยากมีเครดิตให้คนเชื่อ หรือไปเพียรคบแต่คนในสังคมรวยๆ มีเพื่อนรวยๆหน่อย จะได้ก้าวหน้าทางการค้า แลกเปลี่ยนมีเครือข่ายกันได้ ความคิดบ้าๆพวกนั้นคุณอาจจะทำให้ผลักดันตัวเองมาแถวหน้ากว่าเดิมได้ แต่จะทำให้ชีวิตสะสมความบ้าๆบอๆไป กลายเป็นมีเท่าไหร่ก็จะนอนไม่หลับนิ่งไม่อยู่ จะต้องกระหืดกระหายอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างอะไรจากเปรตที่ทานอะไรก็ไม่อิ่ม จะต้องไปเที่ยวท้าชนท้าแข่งกับคนอื่นเขาตลอดเวลา เรียกการแข่งขันว่าเป็นการทำให้เกิดความก้าวหน้าแบบคตินิยมยุคนี้ ทั้งๆที่การแข่งขันมากนั้นหละทำให้บาดเจ็บมากและเปลืองทรัพยากรมากๆ ในยุคที่ทรัพยากรต่างๆจะหายากลง ถ้ายังไม่หัดลดลาวาศอกหรือถ่อมตัวลง จะต้องมีรถดีที่สุด บ้านสวยที่สุด การงานมีหน้ามีตาที่สุดแบบนี้ให้ได้ ความเคยชินพวกนี้จะไปทรมานคุณเอาตอนที่อายุมากๆ ทำงานไม่ค่อยไหว หรือตอนไม่สบายเอาแบบหยุดไม่ได้ พังลงไปกันข้างนึง
คนสมัยนี้เลยมักเป็นโรคทางใจหนักๆ หรือมะเร็งเอา ลองคิดว่าเรากำลังบิดคั้น บิดนะไม่ใช่บีบ บิดจนร่างกายเราเหมือนผ้า หมาดจนหยาดน้ำหยดไม่ออก เค้นตัวเองจนป่วยก็ช่างมันเดียวค่อยซ่อม ไม่ได้เกิดจากความคิดชั่ววูบนะอาการพวกนี้ มันเกิดจากการสะสมมาเรื่อยๆ และเชื่อมั่นว่าการลงสนามแข่งจะทำให้ตนเองได้ดี ขอโทษเถอะ ถ้าต้องแข่งขนาดนั้น ผมสู้ไปนั่งบนเนินมองดูพวกคุณวิ่งอาจจะสนุกกว่าเยอะ
การแข่งขันไม่ว่าอะไรจำไว้ ที่สนุกและไม่เหนื่อยคือคนดู ไม่ใช่คนในสนามหรอก ทำการถ่อมตนให้ได้ก็เหมือนย้ายตัวเองมาเป็นคนดูนั้นหละ แล้วไม่ล้าหลังด้วย ทุกการแข่งขันย่อมมีบทเรียน นั่งเก็บบทเรียนแบบไม่เจ็บตัวอาจจะสบายกว่า แต่ก็อย่าทอดกายสบายใจจนไม่ลงแข่งอะไรๆเอาเสียเลยแบบนี้ก็แย่ เป็นคนนั่งแคร่สักวันก็จะแน่นิ่งถอยหลังลงคลอง
ในที่นี้อยากให้แยกแยะระหว่างความเพียรกับความพยายามที่บ้าคลั่งให้ออกจากกันให้ได้ต่างหาก คนเพียรย่อมไปข้างหน้าได้ด้วยถ่อมตัวได้ด้วยมีความสงบในระยะทางที่ได้เดินลงไป แต่คนที่พยายามอย่างบ้าคลั่งจะไม่ยอมหยุดหรือถอยหลังเด็ดขาดกดตัวลงต่ำไม่ค่อยลงเพราะใฝ่สูงมากเลยไม่อาจนิ่งนอนใจในอะไรได้ ความคิดแบบนี้ทำให้ขาดคนจริงใจในชีวิต และนี่คือหายนะ ถ้าชีวิตอยู่กับคนที่เขาจริงใจไม่ได้ หรือไม่จริงใจพอให้ใครเขาอยู่ได้ หรืออาจจะจริงใจดีแล้วแต่ให้อภัยใครไม่ได้เลย นั้นหละหายนะ ในยามที่ตัวเองล้มลงหรือป่วยเจ็บหรือชรามากๆ จะเหลือใครทีนี้ ค่าใช้จ่ายมหาศาลกองโตกับงานท่วมหัวและใจพังๆไม่รู้จะหันไปหาใครจะถาโถมมาใส่แบบได้แต่จมลงใต้คลื่นน้ำอันนั้น ตายก็ตายไม่ได้ น่าสงสารแท้
นี่คืออันตรายของเวลามีวิกฤตแล้วมักคิดป้องกันตนกับแข่งขัน จะทำให้ลืมความงามสำคัญของชีวิตไปหลายเรื่อง เหมือนการมุ่งไปชมกล้วยไม้ในสวน ทั้งๆที่อาจเดินผ่านดอกกล้วยไม้ป่าเรี่ยดิน ก็ไม่เอะใจเหลียวมอง ต่อให้ส่งกลิ่นหอมก็คิดว่าข้างหน้าในสวนที่ฝันไว้ต้องมีสวยกว่าหอมกว่าแน่ๆหละ การฝึกปรือแบบนี้ไปเรื่อยๆเจ้าตัวไม่รู้หรอกว่ากำลังไม่รู้จักพอ นึกว่าทำไปแบบมีเหตุผล คุ้มค่า และปลอดภัย ก็พอๆกับการไปอบรมหรือเรียนต่อที่เลือกเอาความมีชื่อเสียงเข้าว่า ไม่รู้เลยว่าไปเรียนอะไรผิดๆมากี่อัน ใครแย้งก็โต้ด้วยชื่อเสียงเข้าว่า หรือจำนวนคนเข้าว่า
หมดยุคการแข่งขันแล้วครับ ถ้ายังคิดว่ามีหรือยังอยากวิ่งต่อ แสดงว่าคุณกำลังทำผิดยุคแล้ว และนี่ไม่ใช่ยุคชีวิตเชื่องช้าหรือทำอะไรเอาแบบช้าๆ เอาแค่นี้หละด้วย เป็นยุคฝึกฝน การเดินช้าของคนกำลังฝึกปรือและหาความรู้กับการเดินช้าของหมูขี้เกียจที่อ้างชีวิตพอใจพอเพียงนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ภาพที่เจ้าตัวเห็นนั้นอาจเดินช้าพอๆกัน อ่านออกได้ง่ายๆจากแววตาและคำพูด คนที่สงบจากใจโดยแท้จะรู้สึกร่มเย็นเวลาเข้าใกล้ แต่หมูขี้เกียดที่ทำตัวน่ารัก มีสไตล์ พูดจาดูมีหลักการ คนนิยมชมชอบมาก และไม่โมโหใครง่ายๆ ยิ้มให้ทุกสายตา อยู่ใกล้หรือคบหาด้วยก็อาจจะสบายใจพอได้อยู่ สิ่งที่หาไม่เจอคือ ความห่วงใย นะครับ แปลว่าตามรายทางชีวิตคนที่กำลังฝึกปรืออยู่จะมีไมตรีต่อคนอื่นและห่วงใยทั้งคนไกลคนใกล้เสมอ ส่วนคนที่ดูเหมือนยอมรับชีวิตว่าเจอที่ใช่แล้ว แต่เอื้อเฟื้อคนไม่ออก ห่วงใครไม่เป็นเท่าไหร่ อืม อู้ดอู้ด คุณไม่ได้พูดภาษาคนอยู่หรอก อย่าได้เข้าใจผิดเลย ตื่นได้แล้วหมูน้อย พูดเพื่อจะให้เห็นภาพชัดๆ
คนกำลังฝึกย่อมมีทางสำเร็จแน่นอนข้างหน้า แต่หมูน้อยธรรมดานั้น เดียวก็จะย้ายงาน เปลี่ยนบ้าน ยุบร้าน ไปทำเอาของใหม่เรื่อยๆ อ้างว่า เจอตัวตนใหม่ เสียทุนเสียเวลาลงไปเรื่อยๆ เรื่องนี้เลยเอาตอนต้นนั้นมาเตือนว่า หากทำอะไรแล้ว เสียประสบการณ์ เสียพรสวรรค์ และเสียความชอบด้วย อย่าได้ไปทำเลยครับ แต่ถ้าต้องยอมเสียบ้างควรยอมเสียพรสวรรค์ไปก่อนเพื่อน เพราะประสบการณ์ยังพอสร้างพรสวรรค์ออกมาได้ จากนั้นควรยอมเสีย ประสบการณ์ออกไป เพราะความชอบก็ยังทำให้เพียรทำ สร้างเป็นประสบการณ์ออกมาได้ แต่ถ้าเสียความชอบจนบอกตัวเองไม่ได้แล้วว่า ชอบอะไรกันแน่ ก็พอๆกับคนป่วยที่อาการหนักสุดหนะครับ ไม่ใช่คนที่นอนไม่หลับ และไม่ใช่คนที่ขับถ่ายไม่ดีนะครับ คนที่ไม่กินข้าวนี่ต่างหาก บอกไม่ได้ละว่าอยากกินไม่อยากกินชอบไม่ชอบอะไรนี่หละ พังมานักต่อนักแล้ว ไม่ใช่พังเพราะเค้าจะเป็นซึมเศร้าแล้วไม่ทำอะไรเลยนะครับ อันนั้นตอนปลาย
รู้ไหมตอนต้นของซึมเศร้าคืออะไร คือการจับแล้วรู้สึกว่าที่กำลังจับกำลังทำอยู่นั้นมันไร้ค่า โดยมีที่มาจากการทิ้งความชอบของตนเองไปดื้อๆแบบไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เพื่อจะรักษาประสบการณ์ หรือพรสวรรค์ไวด้วย แต่ทิ้งลงไปเพราะอาจจะเสียใจกับอะไรมากๆ หรือรู้สึกว่าตัวเองทำออกมาได้ไม่ดีพอ หรือเหตุผลของคนสมัยนี้ เค้าทิ้งเพราะคิดว่าความชอบเค้าเลี้ยงตัวไม่ได้ ทำแล้วไม่พอกิน สำหรับคนที่อยากทำร้านอาหาร ผมมีสูตรสำเร็จเสมอไปถามเค้าก่อนจะอ่านในดวงเสียด้วยซ้ำว่า ชอบกินไหมหละที่จะทำออกมาขาย ถ้าไม่มีความชอบสักนิดเลยนี่ อย่าได้ทำครับ เจ๊งแน่ๆ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าอาหารนั้นอร่อย ถ้าคุณยังไม่มีความชอบที่ทำให้คุณไปลองทานอาหารนั้นมาพอสมควรแล้ว เรื่องนี้ใช้ไม่ได้กับพวก หยูกยา หรือการงานที่ต้องการความรู้มากๆนะครับ อันนั้นต่อให้ไม่ชอบแต่ถ้ามีความพากเพียรที่จะลองจะทำ เพื่อเป้าหมายความสำเร็จหรือการช่วยเหลือคนหรือสังคม คุณก็จะทำได้ดีอยู่ดี
จะเห็นได้ว่าความชอบในที่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ความใฝ่หาหรือใคร่หรือนิยมชมชื่นแค่นั้น ยังหมายถึง ความชอบที่งอกขึ้นจากใจที่เห็นประโยชน์ด้วย แสดงว่ายิ่งใจปราณีตขึ้นความชอบของเรายิ่งมีเหตุผล จะมาบอกเอาตื้นๆว่าความชอบคือสิ่งไม่มีเหตุผลนั้นไม่ได้เลยทีเดียวหรอก อย่าดูถูก ความชอบตนเอง พลังความชอบนี่หละที่เอาชนะทุกเกมแบบบางทีไม่ต้องแข่งอะไรเลย ผมพูดเรื่องนี้หลายรอบแล้วครับว่าคนเราไม่ได้เลือกของที่คุณภาพ ราคา ไม่ได้เลือกบริการที่คนหน้าตาดี พูดเพราะ หรือคุ้มค่าหรอก ทั้งหมดเป็นแค่ให้เหตุผลเข้าข้างตัวเอง คนเราเลือกอะไรๆตามความชอบล้วนๆ แสดงว่าต่อให้คุณเพียรทำหน้าตารูปร่างแต่งกายเสียงและความหอมให้ดีแค่ไหนคนก็อาจจะไม่เลือกก็ได้หมดเลย ก็เขาไม่ชอบ และการทำให้คนชอบนั้นเป็นเรื่องเหลือวิสัยด้วย พยายามไปก็เสียเปล่าเพราะมันขัดกับหลักความจริงของโลกที่นินทายังคงเป็นใหญ่ตลอดกาล
เมื่อการนินทายังคงเป็นใหญ่ในโลกทุกหย่อมหญ้า การทำให้คนชอบหมดย่อมเป็นไปไม่ได้เลย แล้วผมพูดเพื่ออะไร เพื่อให้คุณเฝ้าเรียนรู้และมอง ความชอบ ของเป้าหมายคุณให้ออก ศึกษาให้รู้ชัดว่าเป้าหมายคุณนั้นจริงๆเขาชอบอะไรกันแน่ และนี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนส่วนมากที่เลือกอาชีพแล้วไม่ประสบผลเท่าที่ต้องการในเรื่องรายได้ เพราะคุณไม่ไปเรียนรู้เจาะกลุ่มทีละกลุ่มว่า ความชอบเป้าหมายคืออะไรกัน เมื่อไม่ชอบคนก็ไม่เลือก ผมคิดเรื่องนี้ได้จากการไปงานดูดวงที่นึง หมอดูมีชื่อเสียงก็ไม่ค่อยมีคน หมอดูที่อายุเยอะๆประสบการณ์มากๆก็ไม่ค่อยมีคน หมอดูที่แต่งตัวจัดหรือหน้าตาดีก็ไม่ค่อยมีคน ก็แปลว่าเป็นข้อดีของโลกเรานะครับ ที่ทำให้สถิติพวกนี้ไม่เสถียร เท่ากับ มีโอกาสให้คนได้เกิดตลอดเวลา แบบที่ประสบการณ์มากก็ไม่การันตี หน้าตาดีก็ยังไม่ใช่ ชื่อเสียงกว้างไกลก็ยังไม่รับประกัน
ความชอบที่ผันแปรไปได้เสมอตามเวลาสถานที่ ผู้คน และปัจจัยอีกมากมายทำให้คนที่จะศึกษาความชอบ ต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์และพลิกแพลงเก่งพอตัวที่จะเห็นได้ว่า ความชอบในบริบทอะไรบ้างที่ต่างๆกันทำให้คนเปลี่ยนและใช้ความชอบนั้นแลกกับอะไรมาบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วท่านจะเห็นได้ว่า ท่านมัดความชอบไว้ไม่อยู่ไปกว่า ความศรัทธาที่มั่นคง แปลว่า วิ่งตามความชอบใครเขาไปก็เหนื่อยตาย กระทำตนให้เป็นคนดีงามนั้นง่ายกว่าเยอะ และอ่านตัวเองให้ชัดจนพอใจได้ทันทีว่า ถ้าคนกลุ่มนี้ไม่ชอบเราก็ถูกแล้ว ส่วนคนกลุ่มนี้เขาชอบเราก็ถูกแล้วอีก คำว่าถูกแล้วนี่ไม่ใช่สมใจละที่เค้าชอบ แต่มองแบบวิญญาณออกจากร่างได้ว่า เค้ากำลังชอบก้อนๆนึงตัวนี่ ตามเหตุปัจจัยที่ก้อนๆนี่เป็นไป พอๆกับ เวลาหรือสถานที่ๆเป็นไป ซึ่งก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ คนที่ชอบ หรือความชอบก็อาจเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน การขายของบางอย่างไม่ดี หรือทำอะไรออกมาแล้วคนไม่สนใจซื้อ เลยอาจไม่ใช่เราพลาด หรือคิดไม่ดีพอ ก็แค่คนเค้าไม่ชอบ ซึ่งหาคำตอบไปก็เหนื่อยเปล่า
ดังนั้น การไปวัดอะไรของตนเองโดยอาศัยสิ่งภายนอกจะทำให้ยิ่งเสียทรัพยากรในยุคจำกัดแบบนี้ไปเรื่อยๆ สู้หันกลับมามองว่าชีวิตคนๆนึงจริงๆแล้ว ต้องการปัจจัยดำรงชีวิตแค่ไหนกันแน่ ก็จะพอประคองตนได้อย่างทำงานมีสุขและมีเวลาพักผ่อนดูแลตัวเองกับคนรอบข้างได้
สิ่งสำคัญที่สุดอย่าลืมการถ่อมตน ไม่เห็นน่าอายอะไรเลยที่เราจะเป็นคนไม่รู้หรือไม่เก่งเสียบ้าง เป็นลูกน้องบ้าง เป็นลูกศิษย์บ้าง ยุคนี้ต้องทำใจเรื่องนึงนะครับที่จะชัดเจนมากๆเลยนะ คนอายุน้อยๆหนะ จะประสบความสำเร็จเยอะ จะเชี่ยวชาญเยอะ คุณอาจต้องยอมให้เด็ก เคารพคนที่เด็กกว่า นี่เป็นโอกาสทองที่จะทำให้เราชัดเจนมากๆนะว่า เราคบหรือเคารพใครด้วยคุณภาพความดีงามใช่ไหม ไม่ใช่แค่เปลือก ถ้าชีวิตเราทะลวงเปลือกคบหาใครก็เน้นที่แก่นได้ ชีวิตเราในตอนนี้และต่อไปจะมีแก่นสาร และเป็นการย้ำเตือนด้วยว่า เรื่องหลายเรื่องบนโลก ต่อให้ประสบการณ์เยอะ มีความชอบมาก พยายามลงไปมาก บางที พรสวรรค์หรือการสะสมทำมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ๆของคนๆนึงก่อนเค้าจะเกิดมา ก็แสดงให้เห็นได้ว่า โลกเรานั้นหลากหลาย หลายเสียจนคว้าอะไรแน่ๆไม่ได้หรอกครับ
เมื่อมันไม่แน่ในอะไรเลยทั้งนั้น แม้แต่ทั้งหมดที่ผมแนะนำมาก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลเสียทุกครั้ง เราจะยอมรับ แต่ไม่ใช่ยอมรับในความพ่ายแพ้อะไรหรอกนะ ในเมื่อเราไม่แข่งอะไรนี่ เราจะยอมรับความจริง ความจริงว่าเราไม่เคยได้อะไรจากโลกเลย ต่อให้เราจะเพียรหาสักแค่ไหน ทำเท่าไหร่ ลงทุน ลงเวลา ขนาดไหนก็ตาม สรุปได้แบบนี้เราจะอยู่ต่อไปด้วยความ คิดสร้าง แต่ไม่คิดได้แทน คือทำอะไรก็ดูว่าเราได้ทำอะไรลงไปบ้าง สร้างอะไรลงบ้าง แต่ไม่ไปมองว่าเราต้องได้อะไร หรือกำลังได้อะไรมาบ้าง ก็เพราะมันไม่ได้อะไรแน่ๆเลยสักอย่าง การวางเป้าหมายชีวิตจึงควรวางที่การสร้างไปเรื่อยๆ ผมจึงได้เคยบอกว่า คนคิดเกษียณไม่ว่าช่วงใดของอายุก่อนตายนั้น เป็นคนคิดสั้นที่สุดในโลก ที่จะพาตัวเองลงต่ำไปเรื่อยๆ
ถ้าบทความผมยาวไปเนื้อหาลึกล้ำไปหน่อย ขออภัยครับ จำสั้นๆง่ายๆว่า สร้างอะไรให้อะไร เท่านี้พอ คือไม่ว่าอยู่ไหน ทำงานอะไร เจอใคร เมื่อใจถามหาวันข้างหน้าหรือเป้าหมายชีวิต ไม่ควรตอบด้วยประโยคบอกเล่า แต่ควรตอบด้วยประโยคคำถามไปว่า สร้างอะไรได้บ้าง ให้อะไรได้บ้าง ไปที่ไหนก็จะไม่จนมุมและจนใจ ต่อให้ครอบครัวร่ำรวยแต่ที่บ้านไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเสนอ ก็ตอบเป้าหมายลงไปว่า เราสร้างอะไรได้บ้าง เราให้อะไรได้บ้าง ในตอนนี้ที่เป็นอยู่ โดยไม่จำเป็นนี่ว่าต้องเป็นรูปร่างหรือสถานที่หรือโครงการอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแล้วก็ไม่ขัดแย้งหรือฝ่าฝืนใครทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นการกำลังสร้างและกำลังให้ แต่ไม่รู้นะว่าจะกลายเป็นอะไร ถามอันนี้บ่อยๆจะได้ไม่ลืมตัวว่า ตอนนี้เวลาทานข้าวไม่ใช่เวลาพูดโครงการนี่ ควรกำลังตักข้าว กำลังกินข้าว แทนที่จะต้องไปกำลังพูดให้เค้ายอมรับในความคิดเราหรือหเห็นด้วยให้ทุนเราทำ ทำให้มีสตินึกได้ว่า เวลานี้ควรสร้างอะไร ควรให้อะไร ส่วนคนที่ทุนน้อยหรือกำลังบากบั่นก็ได้เหมือนกัน กำลังสร้าง กำลังให้ ก็ไม่ไปปักใจว่าสักวันต้องเกิดอันนี้ สิ่งนี้ ให้สักแต่ว่า กำลังสร้าง กำลังให้ ไม่ต้องถามว่าจะได้อะไร ให้ถามว่า กำลังสร้างอะไร กำลังให้อะไร แล้วจบคำถามด้วยคำตอบที่ตรงคำถามนั้นว่า ขณะเนี้ย ขณะนี้เนี่ยะนะ กำลังสร้างอะไรหละ กำลังให้อะไรหละ
เหมือนตอนต้นที่ยกธาตุน้ำมาพูด ไม่มีธาตุในมีอานุภาพหยุดกระแสน้ำได้ต่อให้ธาตุดิน และไม่มีธาตุใดตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆทุกที่ได้หมด หรือล่วงรู้ได้ว่าน้ำจะไปหยุดตรงไหน การรู้ตัวว่ากำลังอยู่บนน้ำที่หาความมั่นคงแน่นอนอะไรไม่ได้เลยสำคัญมาก เมื่อเหนื่อยก็เข้าท่า หยุดพัก เมื่อมีแรงก็ออกท่า ทำต่อในความไหล จะรู้ได้ไม่หลงไปคิดว่า สายน้ำจะพาไปที่มั่นคงหรือดีงามอย่างเดียว หรือต้องแย่แน่ๆควรว่ายทวนน้ำนะต่อให้เหนื่อยตายก็ยอม ก็ด้วยการถามตนเองว่า นี่กำลัง สร้างอะไรอยู่ และกำลังให้อะไรอยู่
การตั้งคำถามต่างหากที่เป็นคำตอบและทางออกของทุกคำถาม
เพราะถ้าตอบได้ สิ่งนั้นย่อมเป็นแค่คำถามที่เราได้เจอทางออกแล้ว
แต่ถ้าตอบไม่ได้ สิ่งนั้นจะกลายเป็น ความทุกข์
ดังนั้น ถ้าเกิดทุกข์ใดๆ หรือเกิดปัญหาอะไรท่ามกลางกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปรและดึงดูดให้เราเพลินว่ายนี้ บางคนสบาย บางคนหวั่น ขอให้เปลี่ยนที่คำถาม อย่าไปเพียรแต่จะหาคำตอบมาตอบคำถามเดิมๆ และไม่ต้องเปลี่ยนการกระทำ ล้างประสบการณ์ ทิ้งความชอบ หรือละเลยดูถูกพรสวรรค์เลยครับ แค่ ตั้งคำถามใหม่ ก็พอ และพอใจที่ได้มีคำถามนี่หละ ถามไปเรื่อยๆ หัดพอใจลงปลงใจได้ตั้งแต่มีคำถาม ก็จะไม่ต้องไปทุกข์หรือไปสุขใจเมื่อต้องได้คำตอบเท่านั้น เพราะเรื่องมากมายบนโลกนะ จะได้คำตอบเป็น ความเงียบ หรือคำตอบจะมาจาก ความเงียบ แทบจะเกินครึ่ง การพอใจที่คำถาม เลยทำให้เงียบได้ง่าย เพราะต่อให้มีคำถามอีกว่าเงียบทำไม ทำไมไม่ถามอีก ก็จะเงียบไปอีก เพราะเราไม่ไปควานหาคำตอบ
ดังนั้น สร้างอะไร ให้อะไร จึงเป็นคำถามที่ดี ระดับนึง ที่อาจจะไม่ดีที่สุดของทุกคนหรือทุกที่หรอก ท่านอาจจะต้อง หาคำถาม ที่เหมาะกับ ประสบการณ์ ความชอบ และพรสวรรค์ตัวเอง อันนี้ทำตามหน้าที่มิตรที่บอกได้นิดๆหน่อยๆพอให้ท่านมีแนวบ้าง สุดท้ายแล้ว ท่านจะเจอคำถามของตัวท่านเอง แต่เชื่อแน่ว่าเจอคำถามครั้งหน้า ถ้าท่านเข้าใจกลไกของบทความนี้ที่จะโลดแล่นด้วยตัวของมันเองไม่เป็นแค่ตัวหนังสือกระด้างๆ คำถามที่ท่านสร้างเองนั้น จะนำพาชีวิตของท่านให้ได้พบ คำถามใหม่ที่เป็นคำตอบของคำถามเดิมไปเรื่อยๆ ชีวิตที่ไม่ต้องการคำตอบ เป็นชีวิตที่ สบาย และเดินหน้าเสมอ เพื่อนที่จะเตือนท่านได้ดีที่สุดกว่าใครๆ ก็คือ คำถามของท่าน นั้นเอง
ซินแซหลัว
23/8/2565