วิชาโหราศาสตร์จีนขั้นสูง

ขอร้องเถอะนะ ช่วยเลิกเรียก 十天干 ( กิ่งฟ้า 10 ตัว) กับ 十二地支 ( ก้านดิน 12 ตัว) ว่า ราศีบน กับ ราศีล่าง กันเสียที

เทียนกานตี้จือ

 

ขอร้องเถอะนะ ช่วยเลิกเรียก 十天干 (กิ่งฟ้า 10 ตัว)  กับ  十二地支  (ก้านดิน 12 ตัว) ว่า ราศีบน กับ ราศีล่าง กันเสียที

มันจะเป็นอุปสรรคในการต่อยอดการเรียน ดวงจีน ท่านอย่างมหาศาล  ไปคุยกับคนจีนทั่วๆไป เขาก็จะ งง ว่าท่านพูดอะไรของท่านครับ  ดวงจีนโป๊ยหยี่ ไม่ได้แบ่งเป็น บน และ ล่าง ชัดเจนกันขนาดนั้น  มันสามารถอ่านดวงแบบ ผ่าครึ่งบนล่าง ผ่าครึ่งซ้ายขวา พลิกตะแคงมาอ่านด้วย  การที่ไประบุเลย อ้อ กิ่งฟ้า ก้านดิน แปลจากภาษาจีนต้นฉบับไปเลย จะทำให้เรานึกความหมายออกว่า ฟ้าและดิน ต้องอยู่คู่กัน และจะทำให้เราท่องได้ขึ้นใจในอีกความหมายหนึ่งก็คือ กิ่ง ย่อมใหญ่กว่า ก้าน มีพลังความสามารถหรือแผ่พลังทางห้าธาตุได้บริสุทธิ์กว่า แรงกว่า กิ่งเป็นหยาง ก้านเป็นหยิน อะไรทำนองนี้ครับ คือมันจะสอดรับกับการทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า  การเรียนท่านต้องรู้จักยึดเอาตำราต้นฉบับเอาไว้  ไม่ใช่ว่า ผมดูแคลนคนไม่รู้ภาษาจีนนะ แต่เมื่อมีผู้รู้มาชี้แนะท่านต้องฟังและทำตาม  การเรียกว่า ราศี เราจะนำมันไปปะปนกับ ช่องราศีทั้ง 12 ราศี ในดวงไทยอีกด้วย  ซึ่งหากเทียบกันจริงๆแล้ว ดวงจีนโป๊ยหยี่สี่เถียว มีอยู่สี่แถวแปดช่อง ตัวที่เป็นช่องๆนี่หละ ควรถูกเรียกว่า ราศี และตัวที่เป็นธาตุ ที่บ่งบอก กิ่งฟ้า ก้านดิน ก็เสมือดวงดาวตามหลักโหราศาสตร์ไทยที่ให้พลังออกมาในรูปแบบต่างๆ เวลาจะอ่านเลยต้องอ่านตัว ธาตุ ประจำของ กิ่งฟ้า และ ก้านดิน สัมพันธ์สอดคล้องกับตัว ช่อง ที่ให้ความหมายแต่ละความหมาย ซึ่งใครจะผนวกเอา จับซิ้ง หรือ สิ่งสัวะมา ผมก็ไม่ห้ามแต่ประการใด

ที่มาเน้นเรื่องนี้เพราะ ผมจะย้ำกับหลายคนที่เข้ามาหาผมเสมอว่า “พื้นฐานต้องแน่น ถ้าพื้นฐานแน่นดีแล้ว ต่อยอดสบาย”  เพราะฉะนั้นทุกๆครั้งที่ผมจะเริ่มอ่านตำราใหม่ๆ ผมจะต้องเอาตำราเล่มแรกที่ผมเริ่มเรียนมานั่งทบทวนนึกถึงหลักการพื้นฐานมันก่อนเสมอ  เพราะถ้าเราแม่นในหลักการนะครับ มันจะทำให้เราตรวจเจอว่า ตำราใหม่ ที่เราเอามาอ่านตรงนี้หนะ มีข้อดี ข้อด้อยยังไง และข้อผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน  เสมือนหนึ่งเรารู้จักระบบรถยนต์มาบ้าง พอเราไปเจอรถที่เค้าปรับจูนแต่งเติมเพิ่มออกมา เราจะจับหาใจความและตัวอะไหล่ที่สำคัญของมันเจอ พอเจอแล้วเราจะเอามาดูต่อได้เลยว่า การปรับจูนนี้ ส่งผลดีไม่ดีกับรถของเรา  ที่ต้องเตือนไว้อย่างนี้เพราะว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้มีความรู้และมากประสบการณ์แบบอาจารย์หลายๆท่านที่เขียนหนังสือดวงจีนขาย ท่านจะต้องเติมเอาประสบการณ์ และทฤษฎีแนวคิดที่เป็นเฉพาะตน ทั้งที่ ค้นพบ จากตำราต่างๆ และที่ คิดค้นออกมาได้ และที่ได้ฟังได้ยินจากคนมีประสบการณ์ในดวงชะตานั้นๆ มาเติมลงไปในตำราเพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำนาย จุดนี้ถ้าเรา แม่นในหลักการพื้นฐาน เราก็สามารถเลือกนำมาหยิบใช้ได้ ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการต่อยอดอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์สำคัญของการเรียก กิ่งฟ้า ก้านดิน ไม่เรียกว่า ราศีบน ราศีล่าง ก็เพื่อเตือนใจว่า นี่คือโหราศาสตร์จีนที่หลักการว่าด้วย ธรรมชาติ รอบตัวแบบง่ายๆนะครับ  ให้เข้าใจว่า ผังดวงจีนโป๊ยหยี่ เสมือนผังประจำตัวคน เริ่มตั้งแต่ หัว จรดเท้า จัดวางการทำนายตามแต่ละช่องๆลงไป  และให้ศึกษาผังดวงโดยมองในเชิงว่า มนุษย์ก็เปรียบเหมือนต้นไม้ ดวงจีนมีสี่เสา แต่ละเสาประกอบด้วย ก้านดิน 1 ตัว กิ่งฟ้า 1 ตัว อยู่คู่กันแบบปาท่องโก๋  โดยที่เสาปี เปรียบเหมือนราก รากเหง้าของชีวิต บรรพบุรุษ เสาเดือน เปรียบเหมือน ลำต้น ของชีวิต คือหน้าที่การทำงาน เสาวัน เปรียบเหมือน กิ่งก้านใบ ของชีวิต คือครอบครัว บ้านช่อง และเสาเวลา เปรียบเหมือน ดอกผลของชีวิต คือ ผลงานและลูกหลาน  เพราะนั้นถ้าท่านขานชื่อว่า ราศีบน ราศีล่าง สมองจะสั่งการทันทีว่าไปมองผังโป๊ยหยี่ แบบผังดวงดาว หรือผังฟ้า ซึ่งไม่สอดรับกับหัวใจหลักของวิชา ที่เน้นเรื่อง ห้าธาตุ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ และการมองภาพดวงแบบภาพธรรมชาติที่มีพลังงาน  ที่กล่าวเตือนไม่ใช่ว่าเป็นการมองที่ผิดนะครับ  แต่จากประสบการณ์ที่ผมเจอมา คนไทยมักจะอ่านดวงจีนแบบ ภพผสมภพ หรือ แบบราศีผสมตำแหน่ง  เพราะติดยึดในวิชาโหราศาสตร์ที่เรียนกันมา ยิ่งไปเรียกแบบนี้ว่า ราศี ยิ่งติดยึดนำมาผสมกันเข้าไปใหญ่ การเรียนการเข้าใจเลยทำได้ยากกว่าคนที่ไม่เคยเรียนวิชาดวงใดๆมาก่อนเลย

     สมัยก่อนที่จีนยังไม่มีปฎิทินฝรั่งภาษาจีนเรียกการบ่งบอกห้วงเวลาแบบนี้ว่า ระบบ กานจือ 干支  แปลเป็นเทียนตรงๆก็คือ กิ่งก้าน ย่อมาจาก เทียนกาน + ตี้จือ นั้นหละ มีหลักฐานว่ามีการใช้ระบบการบอกเวลาแบบนี้มาก่อนสมัยราชวงศ์ซ่าง คือ ประมาณ ก่อน 5000 ปีมาแล้ว จารึกบนกระดูกสัตว์เป็นแบบอักษรภาพ   อธิบายๆคร่าวๆตอนนี้ เช่น เราบอกวันพรุ่งนี้ว่า คือวันที่ 1 มกราคม 2557 สมมตินะ  จีนโบราณ โบราณมากๆ และใช้กันมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง คือเพิ่งเปลี่ยนเมื่อเกิดการปฏิวัติใกล้ๆนี้เอง  เค้าเรียกวันเวลาว่า  คือ วัน ติงซื่อ เดือนปิ่งอู่ ปีเจี่ยเซิน  แบบนี้เป็นต้น หรือไม่ก็เรียกเป็นปีตามราชวงศ์ตามชื่อฮ่องเต้ที่ครองราชย์ เช่น เฉียนหลงปีที่ 10 กวางสู ปีที่แปด แบบนี้   หลักฐานสำคัญที่เราเห็นได้ว่ามีการบอกเวลาแบบนี้ใช้กันมาไม่รู้กี่พันปีของคนจีนก็คือ ปฏิทินจีนเล่มสีแดงๆนั่นหละครับ   ขนาดว่าทำมาขายปัจจุบันแล้วก็รักษาธรรมเนียมนี้ไว้อยู่ (ตรงที่ศรชี้ว่า A และ B) และที่สำคัญคือการเขียนใบเกิดของลูกหลานคนจีน บางบ้านก็จะฉีกปฏิทินจีนออกมา บางบ้านจะเขียนวันเดือนปีเกิดแบบสากล ที่เราๆใช้ๆกัน แต่เวลาเกิด จะไม่เขียนว่า  12.00 น. แต่จะเขียนว่า  อู่สือ หรือ โง่วซี้ แปลว่า ชั่วยามมะเมีย  ตามธรรมเนียมเดิมแทน (จีนนับเอาชั่วยาม ชั่วยามหนึ่งมี 2 ชั่วโมงสากล ชั่วยามมะเมียคือ เวลาตั้งแต่ 11.00 – 13.00 น.) ผมจึงสันนิษฐานเป็นการส่วนตัวว่า เค้าเน้นหนักให้สอดรับกับการทำเกษตร  หมายความว่า  เทียนกาน กิ่งฟ้า แทนความหมาย ลมฟ้าอากาศ ร้อน หนาว ฝนตก แห้ง ชื้น ฯลฯ ส่วนก้านดิน แทนความหมายลักษณะพื้นที่ในการเพาะปลูกเช่น ที่ดินโคลน ดินแฉะ ที่ลุ่ม ที่ดอน ที่ราบ ที่เนิน ฯลฯ แล้วต่อยอดปรับปรุงความคิดออกมาให้มีความละเอียดอย่างปัจจุบัน

จื่อเวย

ตัวอย่างผังจื่อเวยฯ แบ่งเป็นราศีๆ เป็นช่องๆ

อีกประการหนึ่งคือ เวลาท่านไปศึกษาโหราศาสตร์ระบบดวงดาว ไม่ว่าจะเป็น โหราศาสตร์ไทย หรือ โหราศาสตร์ภารตะ แม้นกระทั่งวิชาโหราศาสตร์จีนเองที่เรียกว่า จื่อเวยโต่วซู่ 紫微斗数 (จี๋มุยเต่าซิ่ว)  หรือบางคนแปลว่า จักรพรรดิดาวเหนืออะไรก็แล้วแต่ จะทำให้ท่านไม่งง ไม่เอาวิชามาสับสนอลม่านกันจากคำเรียกขานชื่อ  เพราะ  ความหมายของคำว่า “ราศี” ในหลักการทางโหราศาสตร์ คือจุดของความสว่าง” ในจังหวะที่โลกโคจรไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ เพราะดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ในขณะเดียวกันโลกก็หมุนรอบตัวเอง ในจังหวะที่วิถีการโคจรของโลกสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์เช่นนี้ ทุก ๆ ช่วงเวลา 30 วัน จะผ่านไปในระยะเวลา 30 องศาโดยประมาณ โลกได้โคจรผ่านกลุ่มดาวใหญ่ต่าง ๆ 12 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มดาวแพะคือราศีเมษ , กลุ่มดาววัวตัวผู้คือราศีพฤษภ , กลุ่มดาวคนคู่คือราศีมิถุน ,กลุ่มดาวปูคือราศีกรกฎ ฯลฯ ไปจนครบรอบจักรราศี 12 กลุ่ม นี่คือคำตอบของคำว่า ราศี  กล่าวคือ ราศีคือแสงสว่าง ณ ยามรุ่งอรุณของวันที่คุณเกิด ส่องมายังโลกมนุษย์ แสงสว่างนี้จะผ่านเงาของกลุ่มดาวหมวดแพะ วัว คนคู่ ปู  เงาของกลุ่มดาวทั้ง 12 กลุ่ม ซึ่งคุณจะมีวันที่เกิด จังหวะของโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ผ่านดาวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งชัดเจน แสงพระอาทิตย์ที่ส่องมา กระทบของเงากลุ่มนั้นมาถึงโลก บังเกิดเป็นความสว่างในยามเช้า ประมาณเวลา 05.50-07.50 น. เมื่อคุณเกิดมาบนโลกนี้ คุณก็จะได้รับอิทธิพลของกลุ่มดาวนั้นๆเป็นราศีประจำตัว เพราะราศีคือความสว่างของแสงพระอาทิตย์ผ่านกลุ่มดาวตกต้องมายังโลกมนุษย์ นี่จึงเป็นที่มาของการเรียกว่า “ราศี” แต่คุณต้องไม่ลืมว่า โลกก็หมุนรอบตัวเองด้วย ดังนั้น จุดของราศีของคุณ จะเคลื่อนไปทุกประมาณ 2 ชม. เน้นย้ำว่า ประมาณ 2 ชม.เท่านั้น เพราะบางราศีก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ  นึกภาพโดยสรุปง่ายๆ พระอาทิตย์ยิงลำแสงผ่านกลุ่มดาว อันนั้นเลยเป็นจุดตั้งต้นของชีวิต อะไรแบบนั้นหละ หลักการนี้มันต่างจากเรื่องการผสมรวมดวงแบบจีนโดยสิ้นเชิง  เพราะจีน มีแนวคิดว่า คนคือ ต้มยำหม้อนึง ชีวิตคนดีร้ายก็คือ ต้มย้ำจืดไป เปรี้ยวไป หวานไป ก็เลยมีการถ่ายเทออก และการเติม เป็นสำคัญจากการมองภาพรวม  แต่ของโหราศาสตร์ดวงดาวนั้น ชีวิตคนเป็นขนมเค้กที่มีการแต่งหน้าเรียบร้อยมาแล้ว มีการจัดวางประดับประดาเอาไว้ตามตำแหน่งอันเกิดจากบุญกรรม